ไขความลับการควบคุมความเจ็บปวดและความสุข: มุมมองประสาทวิทยาจาก Andrew Huberman

วันนี้เรามาสรุปคลิปที่น่าสนใจจากช่อง Andrew Huberman ซึ่งพูดถึงเรื่อง 'How to Control Your Sense of Pain & Pleasure' หรือการควบคุมการรับรู้ความเจ็บปวดและความสุขในชีวิตประจำวัน คลิปนี้มีประโยชน์อย่างยิ่งสำหรับทุกคนที่ต้องการเข้าใจกลไกของสมองและร่างกายเพื่อเพิ่มความสุขและลดความเจ็บปวดผ่านหลักการทางวิทยาศาสตร์

ดูวิดีโอต้นฉบับบน YouTube

สารบัญวิดีโอ

ประเด็นสำคัญ

  • โดพามีนคือสารสื่อประสาทแห่งแรงจูงใจและการคาดหวังรางวัล ไม่ใช่ความสุขโดยตรง การให้รางวัลแบบไม่สม่ำเสมอช่วยเพิ่มแรงจูงใจได้อย่างมหาศาล
  • ความเจ็บปวดและความสุขเป็นประสบการณ์ส่วนบุคคลที่สมองตีความ ไม่ได้ขึ้นอยู่กับความเสียหายทางกายภาพเสมอไป ปัจจัยเช่น ความคาดหวัง การนอนหลับ และพันธุกรรม มีผลอย่างมาก
  • เทคนิคอย่างการฝังเข็ม (Electroacupuncture) การสะกดจิตตนเอง (Self-Hypnosis) และการถูบริเวณที่ปวด สามารถบรรเทาความเจ็บปวดได้โดยมีกลไกทางประสาทวิทยารองรับ
  • คนผมแดงมีเกณฑ์ความเจ็บปวดสูงกว่าโดยเฉลี่ย เนื่องจากร่างกายผลิตสารเอ็นดอร์ฟินได้มากกว่า และความรักก็สามารถเพิ่มความทนทานต่อความเจ็บปวดได้
  • ควรระวังการกระตุ้นโดพามีนให้สูงเกินไปอย่างต่อเนื่อง เพราะอาจนำไปสู่การลดลงของการรับรู้ความสุขและเพิ่มความเสี่ยงต่อการเสพติด

ในพอดคาสต์ Huberman Lab ตอนนี้ Dr. Andrew Huberman ศาสตราจารย์ด้านประสาทชีววิทยาและจักษุวิทยาจาก Stanford School of Medicine ได้พาเราไปเจาะลึกถึงกลไกทางประสาทวิทยาที่อยู่เบื้องหลังการรับรู้ความเจ็บปวดและความสุข ซึ่งเป็นสองขั้วตรงข้ามของประสบการณ์ทางประสาทสัมผัสที่ซับซ้อน

โดพามีน: แรงขับเคลื่อนแห่งแรงจูงใจ

หลายคนเข้าใจผิดว่าโดพามีนคือโมเลกุลแห่งความสุข แต่ Dr. Huberman ชี้แจงว่าโดพามีนคือโมเลกุลแห่งแรงจูงใจและการคาดหวังรางวัล งานวิจัยของ Wolfram Schultz แสดงให้เห็นว่าโดพามีนจะหลั่งออกมาเมื่อเราคาดหวังรางวัลและมีแรงจูงใจที่จะลงมือทำ แต่เมื่อได้รับรางวัลแล้ว ระดับโดพามีนจะกลับสู่ภาวะปกติ

เคล็ดลับในการรักษาแรงจูงใจให้สูงอยู่เสมอคือการใช้ ตารางการให้รางวัลแบบไม่สม่ำเสมอ (Intermittent Reward Schedule) ซึ่งหมายถึงการไม่ให้รางวัลทุกครั้งที่ทำสำเร็จ การให้รางวัลแบบสุ่มหรือเว้นระยะจะทำให้ระดับโดพามีนที่หลั่งออกมาเพื่อกระตุ้นแรงจูงใจเพิ่มขึ้นเป็นสองเท่าหรือสามเท่า นี่คือหลักการเดียวกับที่ใช้ในเครื่องสล็อตแมชชีน ซึ่งทำให้ผู้คนยังคงเล่นต่อไปแม้จะไม่ได้รับรางวัลทุกครั้ง การนำหลักการนี้มาใช้ในชีวิตประจำวัน เช่น การไม่ฉลองทุกความสำเร็จเล็กๆ น้อยๆ จะช่วยรักษาและเพิ่มแรงจูงใจในระยะยาวได้

ความเจ็บปวดและความสุข: ประสบการณ์ส่วนบุคคล

ผิวหนังของเราคืออวัยวะรับสัมผัสที่ใหญ่ที่สุด มีเซลล์ประสาท (DRGs) ที่ส่งสัญญาณไฟฟ้าไปยังสมองเพื่อตีความการสัมผัส อุณหภูมิ และแรงกด การรับรู้ความเจ็บปวดและความสุขไม่ได้ขึ้นอยู่กับสัญญาณจากผิวหนังเท่านั้น แต่สมองจะตีความสัญญาณเหล่านี้โดยอาศัยปัจจัยหลายอย่าง

  • แผนที่ Homunculus: ในสมองส่วน Somatosensory Cortex มีแผนที่ของร่างกายที่เรียกว่า Homunculus ซึ่งแสดงถึงความหนาแน่นของตัวรับความรู้สึกในแต่ละส่วนของร่างกาย บริเวณที่มีความหนาแน่นสูง เช่น ริมฝีปาก ใบหน้า ปลายนิ้ว เท้า และอวัยวะเพศ จะถูกขยายใหญ่ในแผนที่นี้ ทำให้เราไวต่อการสัมผัสในบริเวณเหล่านั้นมากเป็นพิเศษ
  • Dermatome: คือการแบ่งพื้นที่ของผิวหนังตามการเชื่อมต่อของเส้นประสาท การรับรู้ความรู้สึก เช่น การคัน ปวด หรือชา มักจะเกิดขึ้นในอาณาเขตที่ชัดเจนตามการกระจายตัวของเส้นประสาท

ปัจจัยที่ส่งผลต่อการรับรู้

การตีความความเจ็บปวดและความสุขของสมองได้รับอิทธิพลจาก:

  • ความคาดหวัง (Expectation): การรู้ล่วงหน้าว่าความเจ็บปวดจะมาถึงในช่วง 20-40 วินาที ช่วยให้เราเตรียมตัวและลดการรับรู้ความเจ็บปวดได้ แต่ถ้าเตือนเร็วหรือช้าเกินไปอาจทำให้แย่ลง
  • ความวิตกกังวล (Anxiety): ระดับความวิตกกังวลส่งผลต่อความรุนแรงของความเจ็บปวด
  • การนอนหลับและวงจรชีวิต (Circadian Cycle): เราทนความเจ็บปวดได้ดีขึ้นในช่วงกลางวันและแย่ลงมากในช่วง 02:00-05:00 น.
  • พันธุกรรม (Genes): ยีน MC1R ซึ่งพบในคนผมแดง ทำให้พวกเขาสร้างเอ็นดอร์ฟิน (สารโอปิออยด์ธรรมชาติ) ได้มากกว่า ส่งผลให้มีเกณฑ์ความเจ็บปวดสูงกว่าโดยเฉลี่ย

ความเจ็บปวดไม่ได้เกิดจากความเสียหายเสมอไป

การรับรู้ความเจ็บปวดไม่สัมพันธ์กับระดับความเสียหายทางกายภาพเสมอไป ตัวอย่างเช่น การถ่ายภาพรังสีเอ็กซ์ไม่ทำให้เจ็บปวดแม้เนื้อเยื่ออาจเสียหายได้ ในทางกลับกัน เคสของคนงานก่อสร้างที่เห็นตะปูทะลุรองเท้าแต่แท้จริงแล้วตะปูอยู่ระหว่างนิ้วเท้า แสดงให้เห็นว่าการรับรู้ทางสายตามีผลอย่างมากต่อประสบการณ์ความเจ็บปวด และเมื่อเขารู้ความจริง ความเจ็บปวดก็หายไปทันที

เครื่องมือและเทคนิคในการจัดการความเจ็บปวด

  • การบำบัดด้วยกล่องกระจก (Mirror Box Therapy): พัฒนาโดย V.S. Ramachandran ใช้ภาพสะท้อนของแขนขาข้างที่ปกติ เพื่อหลอกสมองให้รับรู้ว่าแขนขาที่ถูกตัดไป (Phantom Limb) กำลังเคลื่อนไหวและผ่อนคลาย ซึ่งช่วยลดอาการปวด Phantom Limb ได้
  • การรับรู้ความร้อนและความเย็น: เซลล์ประสาทที่รับรู้ความเย็นตอบสนองต่อการเปลี่ยนแปลงอุณหภูมิแบบสัมพัทธ์ ดังนั้นการแช่น้ำเย็นอย่างรวดเร็วและจุ่มทั้งตัว (รวมถึงไหล่) จะรู้สึกสบายกว่าการค่อยๆ ลงไป ส่วนความร้อน เซลล์ประสาทตอบสนองต่ออุณหภูมิสัมบูรณ์ จึงควรค่อยๆ ปรับตัว
  • การฝังเข็มด้วยไฟฟ้า (Electroacupuncture): งานวิจัยแสดงให้เห็นว่าการกระตุ้นด้วยไฟฟ้าที่ขาและเท้าด้วยความเข้มข้นต่ำ สามารถกระตุ้นวงจรประสาทที่ช่วยลดการอักเสบและบรรเทาความเจ็บปวดได้
  • การสะกดจิตตนเอง (Self-Hypnosis): Dr. David Spiegel จาก Stanford ได้พัฒนาเครื่องมือสะกดจิตตนเองที่ช่วยปรับการทำงานของสมองส่วน Prefrontal Cortex ทำให้เราสามารถตีความความเจ็บปวดให้ลดลง หรือแม้แต่ไม่รู้สึกเจ็บปวดเลยได้ มีแอปพลิเคชัน 'Reveri.com' ที่เป็นแหล่งข้อมูลฟรีสำหรับเรื่องนี้
  • Gate Theory of Pain: ทฤษฎีนี้อธิบายว่าการถูบริเวณที่เจ็บปวดหรือการกดดันเหนือ/ใต้บริเวณที่บาดเจ็บ จะไปกระตุ้นเส้นใยประสาท A-fibers ซึ่งใหญ่กว่าเส้นใย C-fibers ที่นำสัญญาณความเจ็บปวด ทำให้เส้นใย A-fibers ยับยั้งการทำงานของ C-fibers และลดความเจ็บปวดลงได้
  • สารที่ช่วยบำรุงสุขภาพเส้นประสาท: มีการศึกษาเกี่ยวกับสารที่ออกฤทธิ์ต่อกลไกทางชีววิทยาที่เกี่ยวข้องกับความเจ็บปวด เช่น การทำงานของเซลล์ Glial ที่เชื่อมโยงกับอาการปวด Fibromyalgia และสารบางชนิดที่ช่วยบำรุงสุขภาพเส้นประสาทโดยรวมและลดอาการปวดเรื้อรังและเฉียบพลันได้ นอกจากนี้ยังมีสารที่ได้รับการศึกษาว่ามีผลต่อการลดความเจ็บปวดจากภาวะต่างๆ เช่น ข้ออักเสบ หรือการบาดเจ็บของเส้นประสาท

ความรักและโดพามีน

งานวิจัยยังพบว่าความรัก โดยเฉพาะอย่างยิ่งความรักที่หลงใหลในความสัมพันธ์ใหม่ๆ สามารถเพิ่มความทนทานต่อความเจ็บปวดได้อย่างมีนัยสำคัญ นี่เป็นผลมาจากการหลั่งโดพามีนในระดับสูง ซึ่งส่งผลต่อระบบการอักเสบในร่างกาย ทำให้เรารู้สึกมีพลังและสามารถรับมือกับความท้าทายต่างๆ ได้ดีขึ้น แม้ในภาวะที่มีความเจ็บปวดทางกาย

การจัดการระบบความสุขและโดพามีน

เพื่อรักษาความสามารถในการรับรู้ความสุขในระยะยาว ควรระมัดระวังไม่ให้ระดับโดพามีนสูงเกินไปอย่างต่อเนื่อง การกระตุ้นโดพามีนอย่างรุนแรงซ้ำๆ อาจทำให้ระบบความสุขลดความไวลง (Habituation) และนำไปสู่ความรู้สึกผิดหวังหรือแม้กระทั่งการเสพติด การใช้กลยุทธ์การให้รางวัลแบบไม่สม่ำเสมอจึงเป็นสิ่งสำคัญที่จะช่วยปรับสมดุลของระบบโดพามีนและเซโรโทนิน ทำให้เรายังคงรู้สึกตื่นเต้นและมีแรงจูงใจต่อประสบการณ์ต่างๆ ในชีวิตได้อย่างยั่งยืน

โดยสรุปแล้ว การควบคุมความเจ็บปวดและความสุขไม่ใช่เรื่องของจิตใจอย่างเดียว แต่มีกลไกทางประสาทวิทยาที่ซับซ้อนเข้ามาเกี่ยวข้อง การเข้าใจหลักการเหล่านี้ช่วยให้เราสามารถใช้เครื่องมือและกลยุทธ์ต่างๆ เพื่อปรับปรุงคุณภาพชีวิตได้อย่างแท้จริง

เนื้อหาของ Dr. Andrew Huberman มีความละเอียดและน่าสนใจอย่างยิ่ง โดยนำเสนอข้อมูลเชิงลึกทางประสาทวิทยาที่ช่วยให้เราเข้าใจและจัดการกับความเจ็บปวดและความสุขในชีวิตได้อย่างมีประสิทธิภาพยิ่งขึ้น การทำความเข้าใจกลไกเหล่านี้เป็นก้าวสำคัญในการพัฒนาคุณภาพชีวิตของเรา

หากคุณต้องการเจาะลึกรายละเอียดและรับฟังคำอธิบายจากผู้เชี่ยวชาญโดยตรง สามารถรับชมคลิปฉบับเต็มได้ด้านบน หรือสำรวจบทความเชิงลึกอื่นๆ ได้ที่ช่อง Huberman Lab!