ประเด็นสำคัญ
- Dr. Casey Halpern บุกเบิกการใช้ Deep Brain Stimulation (DBS) หรือการกระตุ้นสมองส่วนลึก เพื่อรักษาภาวะการกินผิดปกติ (Binge Eating Disorder), โรคย้ำคิดย้ำทำ (OCD) และโรคทางการเคลื่อนไหว โดยมุ่งเป้าไปที่วงจรสมองโดยตรง
- Nucleus Accumbens ซึ่งเป็นส่วนสำคัญในวงจรรางวัลของสมอง ถูกระบุว่าเป็นเป้าหมายหลักในการควบคุมพฤติกรรมบังคับและความอยากอาหารที่ควบคุมไม่ได้ โดยการกระตุ้นแบบเป็นช่วงๆ (Episodic Stimulation) ให้ผลลัพธ์ที่ดีกว่าการกระตุ้นแบบต่อเนื่อง
- พฤติกรรมบังคับและภาวะการกินผิดปกติเกิดจากวงจรสมองที่ทำงานผิดปกติ (Dysregulated Circuits) ซึ่งอาจเกิดจากปัจจัยทางพันธุกรรมและสิ่งแวดล้อม (Two-hit Hypothesis) รวมถึงความกดดันทางสังคมที่ทำให้ปัญหารุนแรงขึ้น
- อนาคตของการรักษาสมองกำลังมุ่งไปสู่วิธีการที่ไม่รุกราน เช่น Focused Ultrasound และ Transcranial Magnetic Stimulation (TMS) ซึ่งมีศักยภาพในการแก้ไขปัญหาเหล่านี้โดยไม่ต้องผ่าตัดใหญ่ แต่ยังคงต้องอาศัยการทำความเข้าใจวงจรสมองอย่างลึกซึ้งผ่านการศึกษาแบบรุกรานก่อน
พอดแคสต์กับ Dr. Casey Halpern ศัลยแพทย์ระบบประสาทชั้นนำ ได้นำเสนอข้อมูลเชิงลึกที่น่าทึ่งเกี่ยวกับวิทยาศาสตร์สมองที่ล้ำสมัยและการนำไปประยุกต์ใช้ในการรักษาภาวะทางระบบประสาทและจิตเวชที่ท้าทายที่สุดบางอย่าง ห้องปฏิบัติการของ Dr. Halpern ที่ University of Pennsylvania กำลังบุกเบิกการใช้ Deep Brain Stimulation (DBS) และการแทรกแซงสมองโดยตรงอื่นๆ เพื่อรักษาความผิดปกติ เช่น โรคบูลิเมีย ภาวะการกินผิดปกติ (Binge Eating Disorder) โรคย้ำคิดย้ำทำ (OCD) ภาวะสั่นไม่ทราบสาเหตุ (Essential Tremor) และโรคพาร์กินสัน
การบุกเบิกการรักษาด้วยการกระตุ้นสมองส่วนลึก (DBS)
โดยปกติแล้ว ภาวะเหล่านี้จะได้รับการรักษาด้วยยาหรือการบำบัดด้วยการพูดคุย อย่างไรก็ตาม ทีมของ Dr. Halpern ได้ใช้วิธีที่แตกต่างออกไป โดยมุ่งเน้นไปที่การพัฒนาอุปกรณ์ที่ออกแบบมาเพื่อกระตุ้นเซลล์ประสาทโดยตรงในสมอง ซึ่งเกี่ยวข้องกับการผ่าตัดสมองที่ละเอียดอ่อน บางครั้งอาจมีการนำส่วนเล็กๆ ของสมองออกไป หรือที่พบได้บ่อยกว่าคือการฝังลวดบางๆ เพื่อส่งกระแสไฟฟ้า
งานวิจัยสำคัญของพวกเขาคือการศึกษา nucleus accumbens ซึ่งเป็นบริเวณสมองที่มีบทบาทสำคัญในการหลั่งโดพามีนและพฤติกรรมที่เกิดจากแรงจูงใจ แม้โดพามีนมักเกี่ยวข้องกับความสุข แต่ในบริบทของการกินแบบบังคับหรือการเสพติด การทำงานที่ผิดปกติของโดพามีนอาจนำไปสู่ 'การสูญเสียการควบคุม' ที่บุคคลแสดงพฤติกรรมบางอย่างทั้งที่รู้ถึงความเสี่ยงหรือไม่ต้องการทำ ทีมของ Dr. Halpern มุ่งมั่นที่จะฟื้นฟูการทำงานปกติของบริเวณนี้
ทำความเข้าใจโรคย้ำคิดย้ำทำ (OCD) และภาวะการกินผิดปกติ
OCD เป็นภาวะที่มีลักษณะของความคิดหมกมุ่น (obsessions) และพฤติกรรมซ้ำๆ (compulsions) เพื่อลดความวิตกกังวล Dr. Halpern มองว่า OCD เป็นสเปกตรัมของความผิดปกติ โดยบางลักษณะของความหมกมุ่นอาจเป็นประโยชน์ (เช่น สำหรับศัลยแพทย์หรือ CEO) แต่จะกลายเป็นภาวะที่ทำให้ร่างกายทรุดโทรมเมื่อไม่สามารถควบคุมได้ การรักษาในปัจจุบันรวมถึงยา SSRIs, tricyclics และการบำบัดด้วยการป้องกันการตอบสนองต่อสิ่งกระตุ้น (Exposure Response Prevention Therapy) สำหรับกรณีรุนแรงที่ดื้อต่อการรักษา อาจพิจารณาใช้ DBS หรือการผ่าตัดทำลายเนื้อเยื่อสมองบางส่วน (capsulotomy)
การศึกษาภาพถ่ายสมองแสดงให้เห็นถึงการทำงานที่ผิดปกติในบริเวณควบคุมของคอร์เทกซ์ เช่น orbital frontal cortex (OFC) และ prefrontal cortex ซึ่งส่งสัญญาณไปยังบริเวณใต้คอร์เทกซ์ เช่น basal ganglia (caudate, putamen, ventral striatum รวมถึง nucleus accumbens) การทำงานที่ผิดปกตินี้สามารถนำไปสู่พฤติกรรมบังคับที่บุคคลแสวงหารางวัล (หรือการบรรเทา) แม้จะมีผลเสียตามมา คล้ายกับหนูที่ยอมทนต่อการช็อตเท้าเพื่ออาหาร
ภาวะการกินผิดปกติ (Binge Eating Disorder) เป็นภาวะการกินผิดปกติที่พบได้บ่อยที่สุด มักไม่ได้รับการวินิจฉัยในผู้ป่วยโรคอ้วน โดยมีลักษณะของการกินอาหารปริมาณมากในเวลาอันสั้นพร้อมกับความรู้สึกสูญเสียการควบคุม ทีมของ Dr. Halpern กำลังทำการทดลอง DBS สำหรับผู้ป่วยที่การผ่าตัดลดขนาดกระเพาะอาหาร (gastric bypass surgery) ล้มเหลวเนื่องจากการกินแบบบังคับที่ควบคุมไม่ได้
งานวิจัยในหนูแสดงให้เห็นว่าการได้รับอาหารที่มีไขมันสูงและน่ารับประทานซ้ำๆ สามารถเปลี่ยนแปลง nucleus accumbens ได้ ทำให้เกิดการทำงานที่ผิดปกติซึ่งนำไปสู่การกินแบบบังคับอย่างต่อเนื่อง เป้าหมายของ DBS คือการฟื้นฟูการทำงานปกติของบริเวณนี้ สิ่งที่น่าสนใจคือ การกระตุ้นแบบต่อเนื่องมีประสิทธิภาพน้อยกว่าการกระตุ้นแบบเป็นช่วงๆ (5-10 วินาที) ที่ส่งสัญญาณเมื่อตรวจพบ 'สัญญาณความอยาก' ในสมอง โดยมีเป้าหมายเพื่อขัดขวางวงจรความอยากไปสู่การกินแบบบังคับโดยการยกระดับอารมณ์ชั่วคราวหรือรบกวนวงจรที่ผิดปกติ
สมมติฐาน 'Two-Hit' และปัจจัยทางสังคม
Dr. Halpern เสนอสมมติฐาน 'Two-Hit' สำหรับการพัฒนาภาวะเหล่านี้:
- ความโน้มเอียง/ความเปราะบาง: มนุษย์ไม่ได้ถูกวิวัฒนาการมาเพื่อรับมือกับการมีอาหารที่น่ารับประทาน ราคาถูก และผ่านการแปรรูปอย่างมากในสังคมสมัยใหม่อยู่ตลอดเวลา บางคนจึงเปราะบางกว่าคนอื่น
- เหตุการณ์/ชีวิตที่ตึงเครียด: ความเครียดที่เกิดขึ้นซ้ำๆ ทำหน้าที่เป็น 'Hit' ที่สอง ทำให้ความโน้มเอียงรุนแรงขึ้น และแสดงออกในรูปแบบของพฤติกรรมบังคับ
การตีตราทางสังคมเกี่ยวกับโรคอ้วนและภาวะการกินผิดปกติยังทำให้การรักษาและการฟื้นตัวซับซ้อนยิ่งขึ้น นอกจากนี้ Dr. Halpern เชื่อว่าโรค Anorexia Nervosa แม้จะแสดงออกตรงข้ามกับภาวะการกินผิดปกติ แต่ก็มีกลไกบังคับพื้นฐานที่คล้ายคลึงกัน คือการบังคับตนเองให้กินมากเกินไปหรือน้อยเกินไปโดยไม่คำนึงถึงความเสี่ยง งานวิจัยเบื้องต้นในจีนและยุโรปชี้ให้เห็นว่าการกำหนดเป้าหมายที่ nucleus accumbens หรือวงจรที่เกี่ยวข้องด้วย DBS อาจเป็นประโยชน์สำหรับ Anorexia ด้วยเช่นกัน ซึ่งเน้นย้ำถึงความคล้ายคลึงกันของการทำงานผิดปกติของวงจรสมองในภาวะที่ดูเหมือนแตกต่างกันเหล่านี้
อนาคต: การกระตุ้นสมองแบบไม่รุกราน
การสนทนายังครอบคลุมถึงเทคนิคที่ไม่รุกราน เช่น Transcranial Magnetic Stimulation (TMS) ซึ่งได้รับการอนุมัติจาก FDA สำหรับภาวะซึมเศร้า, OCD และการติดนิโคติน แต่การกำหนดเป้าหมายในสมองส่วนลึกยังคงจำกัด Focused Ultrasound ซึ่งได้รับการอนุมัติจาก FDA สำหรับภาวะสั่นไม่ทราบสาเหตุแล้ว นำเสนอวิธีการที่ไม่รุกรานในการทำลาย (ablate) บริเวณเล็กๆ ของสมองด้วยความแม่นยำที่น่าทึ่ง ความท้าทายอยู่ที่การระบุเป้าหมายที่แม่นยำสำหรับภาวะทางจิตเวช
Dr. Halpern เน้นย้ำถึงความจำเป็นในการศึกษาแบบรุกราน (เช่น การศึกษาในผู้ป่วยโรคลมชักที่มีการฝังอิเล็กโทรด) เพื่อทำความเข้าใจและสร้างแผนที่สัญญาณสมองที่เกี่ยวข้องกับความผิดปกติเหล่านี้ ความเข้าใจที่ลึกซึ้งขึ้นนี้จะช่วยแจ้งและปรับปรุงการประยุกต์ใช้เครื่องมือที่ไม่รุกราน ทำให้มีประสิทธิภาพและแม่นยำยิ่งขึ้น
พลังของการตระหนักรู้ในตนเองและ AI
แม้จะตระหนักถึงความรุนแรงของกรณีที่ดื้อต่อการรักษา Dr. Halpern ชี้ให้เห็นถึงพลังมหาศาลของการตระหนักรู้ในตนเองในการจัดการแรงกระตุ้นและความอยากอาหาร การบำบัดด้วยการรับรู้และพฤติกรรม (CBT) มีความสำคัญ แต่ผลลัพธ์อาจไม่ยั่งยืนหากไม่มีการฝึกฝนอย่างต่อเนื่อง สำหรับกรณีรุนแรง แม้จะตระหนักรู้อย่างเต็มที่ ผู้ป่วยก็อาจสูญเสียการควบคุม ทำให้ต้องมีการแทรกแซงสมองโดยตรง
ศักยภาพของปัญญาประดิษฐ์ (AI) และการเรียนรู้ของเครื่อง (machine learning) ในการตรวจจับสัญญาณทางสรีรวิทยาที่ละเอียดอ่อน (เช่น รูปแบบเสียง ข้อมูลการนอนหลับ) ที่นำไปสู่พฤติกรรมบังคับหรือความคิดฆ่าตัวตายก็ได้รับการสำรวจเช่นกัน โดยการทำความเข้าใจ 'สภาวะก่อนพฤติกรรม' เหล่านี้ AI สามารถให้คำเตือนล่วงหน้า ช่วยให้บุคคลสามารถแทรกแซงก่อนที่จะเกิดเหตุการณ์รุนแรง
ชีวิตของศัลยแพทย์ระบบประสาท
Dr. Halpern ได้สะท้อนมุมมองส่วนตัวเกี่ยวกับคุณลักษณะของศัลยแพทย์ระบบประสาท: ความสงบอย่างลึกซึ้ง ความมั่นใจ และความสามารถในการจัดลำดับความสำคัญภายใต้ความเครียดมหาศาล สิ่งเหล่านี้ได้รับการหล่อหลอมจากการฝึกอบรมที่เข้มงวดและการคัดเลือกตนเอง เขายังแบ่งปันประสบการณ์ของตนเองเกี่ยวกับการออกกำลังกายและการทำสมาธิว่าเป็นเครื่องมือสำคัญในการรักษาการมีสมาธิและความเป็นอยู่ที่ดี แม้ในตารางงานที่หนักหน่วงของศัลยแพทย์สมอง
การสนทนานี้เน้นย้ำว่า แม้เทคโนโลยีจะนำเสนอโซลูชันที่ก้าวล้ำสำหรับกรณีที่รุนแรงที่สุด แต่แนวทางแบบองค์รวมที่ผสมผสานความเข้าใจทางวิทยาศาสตร์ การแทรกแซงทางการแพทย์ขั้นสูง และกลยุทธ์การดูแลตนเอง เป็นสิ่งสำคัญอย่างยิ่งในการจัดการกับความท้าทายที่ซับซ้อนของสุขภาพสมอง
เนื้อหาของ Dr. Andrew Huberman และ Dr. Casey Halpern มีความละเอียดสูงและเป็นข้อมูลเชิงลึกที่สำคัญมาก แนะนำให้ดูฉบับเต็มเพื่อความเข้าใจที่สมบูรณ์และรับฟังข้อมูลเพิ่มเติมจากผู้เชี่ยวชาญโดยตรง
ดูคลิปเต็มด้านบน เพื่อเปิดโลกทัศน์ใหม่ในการทำความเข้าใจสมองและการรักษาโรคทางระบบประสาทและจิตเวช