ถอดรหัสโดปามีน: ทำความเข้าใจและบำบัดการเสพติดกับ Dr. Anna Lembke

วันนี้เรามาสรุปคลิปจากช่อง Andrew Huberman ในตอน 'Essentials: Understanding & Treating Addiction' ซึ่งได้พูดคุยกับ Dr. Anna Lembke ผู้เชี่ยวชาญด้านการเสพติดและประสาทวิทยา เนื้อหาในคลิปนี้มีประโยชน์อย่างยิ่งสำหรับทุกคนที่ต้องการทำความเข้าใจกลไกของสมองที่เกี่ยวข้องกับความสุข ความเจ็บปวด และการเสพติด รวมถึงแนวทางในการฟื้นฟูสมดุลของโดปามีนในชีวิตประจำวัน

ดูวิดีโอต้นฉบับบน YouTube

สารบัญวิดีโอ

ประเด็นสำคัญ

  • โดปามีนเป็นสารสื่อประสาทสำคัญที่เกี่ยวข้องกับความสุข รางวัล และการเคลื่อนไหว แต่การได้รับโดปามีนในปริมาณมากเกินไปซ้ำๆ สามารถลดระดับโดปามีนพื้นฐานของสมองลงได้
  • สมองมีกลไก 'ความสมดุลระหว่างความสุขและความเจ็บปวด' ทำงานคล้ายตาชั่ง เมื่อเราได้รับความสุข ตาชั่งจะเอียงไปทางความสุข แต่สมองจะพยายามปรับสมดุลโดยสร้างความเจ็บปวดในปริมาณที่เท่ากันและตรงข้ามกัน
  • การเสพติดเกิดจากการที่สมองปรับตัวเพื่อชดเชยโดปามีนที่มากเกินไป จนตาชั่งเอียงไปทางความเจ็บปวดอย่างถาวร ทำให้เกิดภาวะขาดโดปามีน (anhedonia) แม้ไม่ได้เสพสิ่งนั้น
  • การ 'อดโดปามีน' (Dopamine Fast) เป็นเวลา 30 วัน สามารถช่วยให้สมองฟื้นฟูการสร้างโดปามีนและปรับสมดุลได้ โดยช่วง 2 สัปดาห์แรกจะรู้สึกแย่ลงก่อนจะดีขึ้นในสัปดาห์ที่ 3-4
  • สิ่งกระตุ้น (Triggers) สามารถทำให้เกิดการกลับไปติดซ้ำได้ แม้กระทั่งเมื่อชีวิตกำลังไปได้ดี เพราะมันจะปล่อยโดปามีนนำร่องเล็กน้อย ตามด้วยภาวะขาดโดปามีนที่กระตุ้นความอยาก

Dr. Anna Lembke ได้อธิบายถึง 'โดปามีน' ว่าเป็นสารสื่อประสาทที่เชื่อมต่อเซลล์ประสาทเข้าด้วยกัน มีบทบาทสำคัญต่อประสบการณ์ของรางวัล ความสุข และการเคลื่อนไหว ซึ่งในอดีต มนุษย์ต้องเคลื่อนไหวเพื่อแสวงหาสิ่งที่จำเป็นต่อการอยู่รอด โดปามีนจึงช่วยให้เรารู้สึกพึงพอใจเมื่อได้สิ่งเหล่านั้น

ความเข้าใจผิดเกี่ยวกับโดปามีนและระดับพื้นฐาน

สิ่งสำคัญที่หลายคนไม่รู้คือ เราปล่อยโดปามีนออกมาในระดับพื้นฐาน (tonic baseline) ตลอดเวลา ความแตกต่างที่แท้จริงไม่ได้อยู่ที่ปริมาณโดปามีนที่พุ่งขึ้นมาครั้งเดียว แต่เป็นการเบี่ยงเบนจากระดับพื้นฐานนั้น เมื่อมีความสุข โดปามีนจะสูงกว่าพื้นฐาน และเมื่อมีความเจ็บปวด โดปามีนจะลดต่ำกว่าพื้นฐาน

มีหลักฐานชี้ว่าผู้ป่วยโรคซึมเศร้าอาจมีระดับโดปามีนพื้นฐานที่ต่ำกว่าปกติ และหากเราได้รับสารหรือพฤติกรรมที่กระตุ้นโดปามีนในปริมาณมากซ้ำๆ เป็นเวลานาน สมองจะพยายามชดเชยโดยการลดระดับโดปามีนพื้นฐานลง ทำให้เราต้องใช้สารหรือพฤติกรรมนั้นมากขึ้นเรื่อยๆ เพื่อให้รู้สึกดีในระดับเดิม

ความสมดุลระหว่างความสุขและความเจ็บปวด (Pleasure-Pain Balance)

Dr. Lembke ใช้แนวคิด 'ตาชั่ง' เพื่ออธิบายว่า ความสุขและความเจ็บปวดถูกประมวลผลในสมองส่วนเดียวกันและทำงานเป็นคู่กัน เมื่อเราได้รับความสุข ตาชั่งจะเอียงไปทางความสุข แต่สมองจะพยายามรักษาสมดุล (homeostasis) โดยจะเอียงไปทางความเจ็บปวดในปริมาณที่เท่ากันและตรงข้ามกันทันทีหลังความสุขนั้นจางหายไป นี่คือช่วงเวลาที่เรา 'อยาก' สิ่งนั้นอีกครั้ง

หากเราไม่รอให้ความรู้สึกเจ็บปวดนั้นผ่านไป และยังคงกระตุ้นซ้ำๆ สมองจะปรับตัวจนตาชั่งเอียงไปทางความเจ็บปวดอย่างถาวร ทำให้เกิดภาวะขาดโดปามีน (dopamine deficit state) หรือ anhedonia (ภาวะไม่ยินดียินร้าย) ซึ่งมีอาการคล้ายภาวะซึมเศร้า วิตกกังวล หงุดหงิด นอนไม่หลับ และหมกมุ่นกับการใช้สารนั้นอีกครั้ง

การบำบัด: การ 'อดโดปามีน' 30 วัน

ในประสบการณ์ทางคลินิกของ Dr. Lembke การงดเว้นจากสารหรือพฤติกรรมที่ให้รางวัลสูงเป็นเวลา 30 วัน เป็นระยะเวลาเฉลี่ยที่สมองจะฟื้นฟูระบบรางวัลและสร้างโดปามีนของตัวเองได้ใหม่ เพื่อปรับสมดุลของตาชั่ง

  • สัปดาห์ที่ 1-2: เป็นช่วงที่ยากลำบากที่สุด จะรู้สึกแย่ลง เช่น วิตกกังวล นอนไม่หลับ หงุดหงิด
  • สัปดาห์ที่ 3: เริ่มเห็นแสงสว่าง รู้สึกดีขึ้น
  • สัปดาห์ที่ 4: ส่วนใหญ่จะรู้สึกดีขึ้นมาก และเริ่มกลับมามีความสุขกับสิ่งเล็กๆ น้อยๆ ในชีวิตได้อีกครั้ง เช่น รสชาติกาแฟดีๆ

การกลับไปติดซ้ำและสิ่งกระตุ้น

การเสพติดเป็นโรคเรื้อรังที่สามารถกลับไปติดซ้ำได้ สิ่งที่น่าสนใจคือ การกลับไปติดซ้ำไม่ได้เกิดขึ้นเฉพาะเมื่อชีวิตเจอเรื่องแย่ๆ เท่านั้น แต่ยังสามารถเกิดขึ้นได้เมื่อชีวิตกำลังไปได้ดี

สิ่งกระตุ้น (Triggers) ไม่ว่าจะเป็นความเครียด การสูญเสีย หรือแม้แต่ความสำเร็จและความสุข ก็สามารถปล่อยโดปามีนนำร่อง (anticipatory dopamine) เล็กน้อยออกมา ซึ่งตามมาด้วยภาวะขาดโดปามีน (mini deficit state) ทันที ภาวะขาดโดปามีนเล็กๆ นี้เองที่กระตุ้นความอยากและผลักดันให้คนกลับไปใช้สารนั้นอีกครั้ง โดยที่บางครั้งไม่ใช่ความตั้งใจ แต่เป็นปฏิกิริยาอัตโนมัติที่ควบคุมไม่ได้ เหมือนกับการเกาแผลยุงกัดในขณะหลับ

ความสำคัญของการพูดความจริงในการฟื้นฟู

การพูดความจริงเป็นหัวใจสำคัญของการฟื้นฟู ไม่ใช่แค่การไม่โกหกเรื่องการใช้สารเสพติด แต่รวมถึงการพูดความจริงในทุกรายละเอียดของชีวิต การพูดความจริงช่วยเสริมสร้างวงจร Prefrontal Cortex (ส่วนที่เกี่ยวข้องกับการตัดสินใจและผลลัพธ์ในอนาคต) และการเชื่อมต่อกับ Limbic Brain (สมองส่วนอารมณ์และรางวัล) ซึ่งเป็นวงจรที่ถูกตัดขาดไปในภาวะเสพติด นอกจากนี้ การเปิดใจกับผู้อื่นยังสร้างความสัมพันธ์ที่ใกล้ชิด ซึ่งสามารถกระตุ้นการหลั่งโดปามีนได้

ยาประสาทหลอนกับการบำบัดการเสพติด: มุมมองที่ต้องระวัง

มีการพูดถึงการใช้ยาประสาทหลอน (Psychedelics) เช่น MDMA หรือ Psilocybin ในการบำบัดการเสพติด Dr. Lembke แสดงความกังขาต่อแนวทางนี้ โดยชี้ว่ามันขัดแย้งกับหลักการ 'อดโดปามีน' เนื่องจากยาเหล่านี้กระตุ้นโดปามีนในปริมาณมหาศาล อย่างไรก็ตาม มีงานวิจัยขนาดเล็กชี้ให้เห็นว่าใน 'การควบคุมดูแลอย่างเข้มงวดและควบคู่กับการบำบัดทางจิต' อาจช่วยให้ผู้ป่วยบางราย โดยเฉพาะผู้ที่มีประสบการณ์บาดแผลทางใจอย่างรุนแรง สามารถมองชีวิตในมุมมองใหม่และเกิดการเปลี่ยนแปลงเชิงจิตวิญญาณได้

แต่ Dr. Lembke เตือนว่า การใช้ยาประสาทหลอนด้วยตัวเองเพื่อ 'การตื่นรู้ทางจิตวิญญาณ' โดยไม่มีการควบคุมดูแลจากผู้เชี่ยวชาญ เป็นสิ่งที่อันตรายและมักจบลงด้วยผลลัพธ์ที่ไม่ดี

โซเชียลมีเดีย: ยาเสพติดยุคใหม่

Dr. Lembke เน้นย้ำว่า โซเชียลมีเดียถูกออกแบบมาให้เป็น 'ยาเสพติด' ดังนั้นเราต้องใช้มันอย่างมีสติและตั้งใจ วางแผนการใช้งานล่วงหน้า และใช้เป็นเครื่องมือในการเชื่อมต่อกับผู้อื่น ไม่ใช่ปล่อยให้มันครอบงำชีวิต

เราควรสร้าง 'กำแพงทางกายภาพและจิตใจ' ระหว่างตัวเองกับโทรศัพท์ เพื่อสร้างพื้นที่ที่เราจะไม่ถูกขัดจังหวะและทำให้เสียสมาธิ การที่เราถูกกระตุ้นตลอดเวลาทำให้เราสูญเสียความสามารถในการคิดอย่างต่อเนื่อง ซึ่งเป็นที่มาของความคิดสร้างสรรค์และแนวคิดใหม่ๆ สิ่งสำคัญคือการรักษาและส่งเสริมการเชื่อมต่อกับผู้คนในโลกออฟไลน์

เนื้อหาของ Dr. Anna Lembke มีความละเอียดลึกซึ้งและให้มุมมองใหม่ๆ เกี่ยวกับโดปามีนและการเสพติดที่น่าสนใจมาก การทำความเข้าใจกลไกของสมองช่วยให้เราจัดการกับพฤติกรรมและอารมณ์ของตัวเองได้ดีขึ้น

ดูคลิปเต็มด้านบนเพื่อเจาะลึกข้อมูลเพิ่มเติม หรืออ่านบทความเชิงลึกอื่น ๆ เพื่อพัฒนาสุขภาพจิตและสมองของคุณ!