ประเด็นสำคัญ
- อาการทางสุขภาพของผู้หญิงมักถูกมองข้าม บั่นทอน หรือเพิกเฉย ทำให้ผู้ป่วยจำนวนมากต้องทนทุกข์ทรมานโดยไม่ได้รับการวินิจฉัยที่ถูกต้อง
- PCOS (ภาวะถุงน้ำรังไข่หลายใบ) และเยื่อบุโพรงมดลูกเจริญผิดที่ (Endometriosis) เป็นสาเหตุหลักของภาวะมีบุตรยากที่มักไม่ได้รับการวินิจฉัย
- อาการปวดประจำเดือนที่รุนแรงจนรบกวนชีวิตประจำวัน 'ไม่ใช่เรื่องปกติ' และอาจเป็นสัญญาณของเยื่อบุโพรงมดลูกเจริญผิดที่
- ภาวะดื้ออินซูลินเป็นปัจจัยสำคัญที่ขับเคลื่อนอาการของ PCOS และการจัดการภาวะนี้เป็นหัวใจสำคัญของการรักษา
- ผู้หญิงทุกคนควรได้รับการส่งเสริมให้เป็นผู้ดูแลสุขภาพของตนเอง โดยการตรวจคัดกรองเบื้องต้น เช่น การนับจำนวนไข่ (AMH) และการอัลตราซาวนด์อุ้งเชิงกราน รวมถึงประเมินความเสี่ยงมะเร็งเต้านมตั้งแต่อายุยังน้อย
สุขภาพสตรีที่ถูกละเลย: ปัญหาที่ใหญ่กว่าที่คุณคิด
Dr. Thaïs Aliabadi ผู้เชี่ยวชาญด้านสุขภาพสตรี ได้เน้นย้ำถึงปัญหาเรื้อรังในการดูแลสุขภาพของผู้หญิง ซึ่งอาการมักถูกมองข้ามหรือบั่นทอน คำกล่าวที่ว่า “คุณคิดไปเอง” หรือ “มันเป็นเรื่องปกติของผู้หญิง” ได้นำไปสู่การที่ผู้หญิงนับล้านต้องทนทุกข์จากภาวะต่างๆ เช่น PCOS, เยื่อบุโพรงมดลูกเจริญผิดที่, อาการปวดอุ้งเชิงกรานเรื้อรัง และภาวะมีบุตรยาก โดยไม่ได้รับการวินิจฉัยที่ถูกต้อง แพทย์หลายคนยังคงไม่ตระหนักถึงสัญญาณสำคัญของภาวะเหล่านี้
PCOS (ภาวะถุงน้ำรังไข่หลายใบ)
PCOS เป็นความผิดปกติของฮอร์โมนที่พบบ่อยที่สุดในผู้หญิงวัยเจริญพันธุ์ โดยส่งผลกระทบต่อผู้หญิงประมาณ 15-20% และกว่า 90% ของผู้ป่วยมักไม่ได้รับการวินิจฉัยหรือรักษาอย่างเหมาะสม
- เกณฑ์การวินิจฉัย: ต้องมี 2 ใน 3 ข้อต่อไปนี้
- อาการแอนโดรเจนสูง: เช่น ขนบนใบหน้า/ร่างกายมากผิดปกติ, สิว, ผิวมัน, ผมร่วงแบบเพศชาย
- ภาวะการตกไข่ผิดปกติ: ประจำเดือนมาไม่สม่ำเสมอ หรือมาน้อยกว่า 8 ครั้งต่อปี
- รังไข่มีลักษณะเหมือน PCOS ในการอัลตราซาวนด์: เห็นถุงน้ำขนาดเล็กจำนวนมาก (คล้ายสร้อยไข่มุก) หรือมีระดับ AMH (ฮอร์โมนต้านมูลเลอเรียน) สูงผิดปกติ
- ความเข้าใจผิด: ชื่อ Polycystic Ovary Syndrome ทำให้แพทย์หลายคนเข้าใจผิดว่าต้องมีซีสต์ขนาดใหญ่ในรังไข่ แต่จริงๆ แล้วคือถุงน้ำขนาดเล็กจำนวนมาก นอกจากนี้ระดับ AMH ที่สูงในผู้ป่วย PCOS ไม่ได้แปลว่ามีไข่ที่มีคุณภาพดีเสมอไป
- อาการอื่นๆ: ผู้ป่วย PCOS มักมีปัญหาด้านอารมณ์ เช่น วิตกกังวล ซึมเศร้า และการรับประทานอาหารที่ผิดปกติ (disordered eating)
- PCOS ในวัยรุ่น: การวินิจฉัยในวัยรุ่นต้องระมัดระวังเป็นพิเศษ โดยเน้นที่ประจำเดือนผิดปกติและอาการแอนโดรเจนสูง ไม่ใช้ AMH หรือลักษณะรังไข่จากการอัลตราซาวนด์เป็นเกณฑ์หลัก
กลไกและปัจจัยที่เกี่ยวข้องกับ PCOS
Dr. Aliabadi อธิบายว่า PCOS เกิดจากปัจจัยหลายประการที่ทำงานร่วมกัน:
- ความผิดปกติของแกนสมอง-ต่อมใต้สมอง-รังไข่: สมองส่วนไฮโปทาลามัสหลั่งฮอร์โมน G&RH เร็วเกินไป ทำให้สมดุลของฮอร์โมน FSH และ LH เปลี่ยนไป (LH สูงขึ้น, FSH ลดลง) LH ที่สูงจะกระตุ้นรังไข่ให้สร้างแอนโดรเจนมากขึ้น ซึ่งไปขัดขวางการเจริญเติบโตและการตกไข่
- ภาวะดื้ออินซูลิน: ผู้ป่วย PCOS ประมาณ 80% มีภาวะดื้ออินซูลิน แม้ในผู้ที่ผอม ฮอร์โมนแอนโดรเจนที่สูงขึ้นทำให้เซลล์ดื้อต่ออินซูลิน ส่งผลให้อินซูลินในเลือดสูงขึ้น อินซูลินที่สูงนี้จะกระตุ้นรังไข่ให้สร้างแอนโดรเจนเพิ่มขึ้นอีก ขัดขวางการตกไข่ และลดระดับ Sex Hormone Binding Globulin (SHBG) ทำให้มีฮอร์โมนเทสโทสเตอโรนอิสระสูงขึ้น นอกจากนี้อินซูลินที่สูงยังส่งเสริมการสะสมไขมันในช่องท้อง (visceral fat)
- การอักเสบเรื้อรัง: ไขมันในช่องท้องจะปล่อยสารสื่ออักเสบ (cytokines) ออกมา ซึ่งทำให้อินซูลินดื้อแย่ลงและกระตุ้นรังไข่ให้สร้างแอนโดรเจนเพิ่มขึ้น เป็นวงจรที่เลวร้าย
- พันธุกรรม: PCOS มักมีประวัติในครอบครัว เช่น โรคเบาหวาน หรือภาวะน้ำหนักเกิน
- epigenetics (ปัจจัยทางสิ่งแวดล้อม): ความเครียด การนอนหลับไม่เพียงพอ อาหารที่ไม่ดีต่อสุขภาพ และการไม่ออกกำลังกาย ล้วนเป็นตัวกระตุ้นให้ยีนแสดงอาการของ PCOS ออกมา
แนวทางการรักษา PCOS
การรักษา PCOS ต้องจัดการกับปัจจัยพื้นฐานเหล่านี้:
- การปรับเปลี่ยนไลฟ์สไตล์: การออกกำลังกายเบาๆ หลังมื้ออาหาร 10-15 นาที การนอนหลับที่มีคุณภาพ การรับประทานอาหารต้านการอักเสบ หลีกเลี่ยงอาหารแปรรูป และการจัดการความเครียด
- อาหารเสริม: สารที่ช่วยเพิ่มความไวของอินซูลิน เช่น อิโนซิทอล (inositol) และวิตามินดี (ภาวะวิตามินดีต่ำทำให้ดื้ออินซูลินได้) รวมถึงโคเอ็นไซม์คิวเทน (Co-enzyme Q10) และแอล-คาร์นิทีน (L-Carnitine) เพื่อคุณภาพของไข่ Dr. Aliabadi ได้พัฒนาแพลตฟอร์ม OVI (ovi.com) ซึ่งเป็นเครื่องมือฟรีที่ช่วยให้ผู้หญิงประเมินความเสี่ยงของ PCOS และแนะนำอาหารเสริมที่ออกแบบมาเพื่อช่วยเรื่องภาวะดื้ออินซูลินและการอักเสบ
- ยา: ยาที่เพิ่มความไวของอินซูลิน เช่น เมตฟอร์มิน (metformin) หรือกลุ่มยา GLP-1 agonists ที่ช่วยควบคุมอินซูลิน ลดความอยากอาหาร และลดการอักเสบ
- ภาวะเจริญพันธุ์: สำหรับผู้ที่ต้องการตั้งครรภ์ อาจใช้ยาเหนี่ยวนำการตกไข่ เช่น เลโทรโซล (letrozole) หรือโคลมิด (clomid) และควรพิจารณาการแช่แข็งไข่ตั้งแต่เนิ่นๆ (ก่อนอายุ 30 หรือแม้แต่ 16 ปีในกรณีรุนแรง) เนื่องจากคุณภาพของไข่ในผู้ป่วย PCOS อาจไม่ดีนัก แม้จะมีจำนวนมากก็ตาม
เยื่อบุโพรงมดลูกเจริญผิดที่ (Endometriosis)
เป็นภาวะที่เซลล์คล้ายเยื่อบุโพรงมดลูกเจริญเติบโตอยู่นอกมดลูก เช่น รอบท่อนำไข่ รังไข่ กระเพาะปัสสาวะ ลำไส้ หรือภายในรังไข่ (เรียกว่า endometrioma หรือ chocolate cyst) เซลล์เหล่านี้จะตอบสนองต่อฮอร์โมนเอสโตรเจนและมีเลือดออกทุกเดือน ทำให้เกิดการอักเสบและพังผืดภายในช่องท้อง
- อาการที่ 'ไม่ปกติ': ปวดประจำเดือนรุนแรงจนรบกวนชีวิต (เช่น หยุดเรียน/หยุดงาน, เปลี่ยนแผนสังคม, ต้องเข้าห้องฉุกเฉิน), เจ็บปวดขณะมีเพศสัมพันธ์แบบสอดลึก, ท้องอืดเรื้อรัง, ปวดขณะขับถ่าย, อาการกระเพาะปัสสาวะอักเสบซ้ำๆ โดยไม่มีการติดเชื้อ
- การวินิจฉัย: โดยเฉลี่ยใช้เวลา 9-11 ปี และผู้ป่วยต้องพบแพทย์ 5-10 คน กว่าจะได้รับการวินิจฉัยที่ถูกต้อง Dr. Aliabadi ย้ำว่าการฟังอาการของผู้ป่วยเป็นสิ่งสำคัญที่สุด (แม่นยำ 99.9%) การอัลตราซาวนด์อาจพบ endometrioma (ซึ่งบ่งชี้ถึงระยะที่ 3 หรือ 4) แต่การอัลตราซาวนด์ปกติไม่ได้แปลว่าไม่มีภาวะนี้
- ผลกระทบต่อภาวะเจริญพันธุ์: การอักเสบและพังผืดทำให้ท่อนำไข่อุดตัน คุณภาพและจำนวนไข่ลดลง สภาพแวดล้อมไม่เอื้อต่อการปฏิสนธิและการฝังตัวของตัวอ่อน เพิ่มความเสี่ยงการตั้งครรภ์นอกมดลูกและการแท้งบุตร
- การรักษา:
- การใช้ฮอร์โมน: ยาคุมกำเนิดที่มีโปรเจสเตอโรน หรือห่วงอนามัยชนิดฮอร์โมนโปรเจสเตอโรน (IUD) สามารถช่วยยับยั้งการเจริญเติบโตของเยื่อบุโพรงมดลูกที่ผิดที่ได้ นอกจากนี้ยังมีกลุ่มยา G&RH antagonist ที่ช่วยลดระดับเอสโตรเจน แต่มีผลข้างเคียงคล้ายวัยทองและใช้ได้ไม่เกิน 2 ปี
- การผ่าตัด: การผ่าตัดส่องกล้อง (laparoscopic resection) เพื่อตัดเนื้อเยื่อที่ผิดที่ออก เป็นวิธีมาตรฐานในการวินิจฉัยและรักษา อย่างไรก็ตาม มีแพทย์ไม่กี่คนที่มีความเชี่ยวชาญในการผ่าตัดชนิดนี้ และเนื้อเยื่อบางชนิด (stromal endometriosis) อาจถูกมองข้ามได้ง่าย
- ข้อควรจำ: ระยะของโรคไม่มีความสัมพันธ์กับระดับความเจ็บปวดเสมอไป และหลังการผ่าตัดควรรักษาด้วยฮอร์โมนเพื่อป้องกันการกลับมาเป็นซ้ำ
ไฟบรอยด์ (Fibroids)
เนื้องอกมดลูกชนิดไม่ร้ายที่พบบ่อยมาก โดยผู้หญิงกว่า 80% จะมีไฟบรอยด์บางชนิดเมื่ออายุ 50 ปี ความสำคัญอยู่ที่ตำแหน่งและขนาดของไฟบรอยด์ ซึ่งอาจทำให้มีเลือดออกมาก ภาวะโลหิตจาง มีบุตรยาก หรือกดทับอวัยวะข้างเคียงได้ การอัลตราซาวนด์อุ้งเชิงกรานเป็นสิ่งจำเป็นในการวินิจฉัยและติดตาม
ความเสี่ยงมะเร็งเต้านม
Dr. Aliabadi เน้นย้ำว่าข้อมูลที่ว่าควรเริ่มตรวจแมมโมแกรมเมื่ออายุ 40 ปีนั้นทำให้เข้าใจผิดสำหรับผู้หญิงที่มีความเสี่ยงสูง
- การประเมินความเสี่ยงตลอดชีวิต: ผู้หญิงทุกคนควรทราบความเสี่ยงตลอดชีวิตในการเป็นมะเร็งเต้านม (ค่าเฉลี่ยของชาวอเมริกันคือ 12.5%) สามารถใช้เครื่องมือประเมินความเสี่ยง Tyra Cusk risk assessment tool (มีให้ใช้ฟรีบนแพลตฟอร์ม GMD ของ Dr. Aliabadi)
- การคัดกรองสำหรับผู้มีความเสี่ยงสูง: หากความเสี่ยงตลอดชีวิต 20% ขึ้นไป ควรเริ่มตรวจคัดกรองเต้านมตั้งแต่อายุ 30 ปี โดยอาจรวมถึงแมมโมแกรม อัลตราซาวนด์เต้านม และ MRI เต้านม โดยเฉพาะอย่างยิ่งหากมีประวัติครอบครัวหรือมีเต้านมหนาแน่น
- การตรวจพันธุกรรมมะเร็ง: ผู้ที่มีประวัติครอบครัวเป็นมะเร็งเต้านม รังไข่ ตับอ่อน หรือต่อมลูกหมาก ควรพิจารณาการตรวจพันธุกรรมเพื่อประเมินความเสี่ยงที่แท้จริง
- ประสบการณ์ส่วนตัว: Dr. Aliabadi เล่าถึงประสบการณ์ส่วนตัวที่เธอต้องต่อสู้เพื่อขอผ่าตัดเต้านมออก แม้จะไม่มีประวัติครอบครัวหรือการกลายพันธุ์ทางพันธุกรรม แต่จากการคำนวณความเสี่ยงพบว่าสูงถึง 37% ซึ่งในที่สุดก็พบเซลล์มะเร็งในเนื้อเยื่อที่นำออกไป เรื่องราวนี้ตอกย้ำถึงความจำเป็นที่ผู้หญิงต้องเป็นกระบอกเสียงให้ตัวเอง
PMDD (Premenstrual Dysphoric Disorder) และ Perimenopause
- PMDD: เป็นอาการก่อนมีประจำเดือนที่รุนแรงมาก ซึ่งไม่ใช่ความผิดปกติของฮอร์โมน แต่เป็นการตอบสนองที่รุนแรงของสมองต่อการเปลี่ยนแปลงของฮอร์โมนตามปกติ อาการ (ซึมเศร้า วิตกกังวล หงุดหงิด ความคิดฆ่าตัวตาย) มักเริ่ม 10 วันก่อนประจำเดือนและหายไป 2-3 วันหลังประจำเดือนมา
- การรักษา PMDD: สามารถใช้ยาต้านเศร้ากลุ่ม SSRIs ในช่วง 10-14 วันก่อนประจำเดือน หรือพิจารณาการบำบัดด้วยฮอร์โมนทดแทนในผู้หญิงวัยใกล้หมดประจำเดือน
- Perimenopause (วัยใกล้หมดประจำเดือน): ช่วง 7-10 ปีก่อนวัยหมดประจำเดือนจริง (เฉลี่ยอายุ 51.5 ปี) ผู้หญิงอาจประสบกับอาการต่างๆ เช่น อารมณ์แปรปรวน นอนไม่หลับ ร้อนวูบวาบ น้ำหนักขึ้น เจ็บปวดขณะมีเพศสัมพันธ์ ผมร่วง และผิวบางลง ซึ่งมักถูกมองข้าม การบำบัดด้วยฮอร์โมนทดแทนสามารถช่วยบรรเทาอาการเหล่านี้ได้อย่างมาก
ข้อคิดและพลังของผู้หญิง: เป็นกระบอกเสียงให้ตัวเอง
Dr. Aliabadi ชี้ให้เห็นว่าระบบการดูแลสุขภาพในปัจจุบันบกพร่องอย่างมากในการดูแลสุขภาพสตรี แพทย์จำนวนมากไม่มีเวลาหรือการฝึกอบรมที่เพียงพอในการวินิจฉัยภาวะที่ซับซ้อนเหล่านี้ เธอเสนอแนะให้แยกสูติกรรม (OB) ออกจากนรีเวชวิทยา (GYN) เพื่อให้แพทย์สามารถมุ่งเน้นและให้การดูแลที่มีคุณภาพสูงขึ้นได้
สิ่งสำคัญที่สุดคือการที่ผู้หญิงทุกคนต้องเป็นผู้ดูแลสุขภาพของตนเอง:
- ให้ความรู้ตัวเอง: ศึกษาข้อมูลเกี่ยวกับอาการและภาวะต่างๆ ที่อาจเกิดขึ้น
- เตรียมพร้อม: จดคำถามและรายการการตรวจที่ต้องการก่อนไปพบแพทย์ เช่น การตรวจ AMH การอัลตราซาวนด์อุ้งเชิงกราน
- ยืนยันสิทธิ์: เรียกร้องการตรวจที่จำเป็น หากแพทย์ปฏิเสธ ให้หาแพทย์คนอื่น หรือขอคำแนะนำเพื่อไปตรวจที่ศูนย์รังสีวิทยา
- อย่าให้ใครมาตัดสิน: อาการปวดและปัญหาที่คุณเผชิญนั้นเป็นเรื่องจริง ไม่ได้คิดไปเอง
การอัลตราซาวนด์อุ้งเชิงกรานควรเป็นส่วนหนึ่งของการตรวจสุขภาพประจำปีสำหรับผู้หญิงทุกคน เพื่อคัดกรองปัญหาต่างๆ เช่น ไฟบรอยด์ หรือความผิดปกติของมดลูก เช่น ผนังกั้นโพรงมดลูก ซึ่งอาจนำไปสู่ภาวะแท้งซ้ำได้
Dr. Aliabadi ทิ้งท้ายด้วยความหวังว่า หากผู้หญิงทุกคนได้รับข้อมูลที่ถูกต้องและเป็นกระบอกเสียงให้ตัวเองได้ โลกของเราจะดีขึ้นอย่างแน่นอน
เนื้อหาของ Dr. Thaïs Aliabadi และ Andrew Huberman มีความละเอียดสูงมาก แนะนำให้ดูฉบับเต็มเพื่อความเข้าใจที่สมบูรณ์และเข้าถึงแหล่งข้อมูลเพิ่มเติมที่ Dr. Aliabadi ได้สร้างขึ้นเพื่อช่วยผู้หญิงในการดูแลสุขภาพของตนเอง
ดูคลิปเต็มด้านบน หรือติดตามบทความสรุปสาระสำคัญจากผู้เชี่ยวชาญด้านสุขภาพอื่นๆ ได้ที่นี่