ประเด็นสำคัญ
- สมองซีกขวามีบทบาทสำคัญในการพัฒนาความผูกพันและควบคุมอารมณ์ตั้งแต่ 24 เดือนแรกของชีวิต ซึ่งเป็นรากฐานของบุคลิกภาพและสุขภาพจิตในระยะยาว
- รูปแบบความผูกพันในวัยเด็ก (มั่นคง, หลีกเลี่ยง, วิตกกังวล, สับสน) หล่อหลอมความสัมพันธ์ในวัยผู้ใหญ่ รวมถึงความรัก มิตรภาพ และการทำงาน
- การสื่อสารระหว่างสมองซีกขวาต่อสมองซีกขวาแบบไม่รู้ตัว (Implicit) เป็นหัวใจของการสร้างความสัมพันธ์ การเห็นอกเห็นใจ และการบำบัดทางจิตวิทยา
- การปรับสมดุลอารมณ์ (Affect Regulation) ทั้งการสงบสติอารมณ์เชิงลบและการกระตุ้นอารมณ์เชิงบวก เป็นสิ่งสำคัญยิ่งต่อความผูกพันที่มั่นคง
- การสร้างความสัมพันธ์ที่ใกล้ชิด เปิดเผย และเข้าอกเข้าใจผู้อื่น ช่วยฟื้นฟูวงจรสมองซีกขวาที่อาจบกพร่องได้ แม้จะไม่ได้ผ่านการบำบัดโดยตรง
- วัฒนธรรมที่ให้ความสำคัญกับการลาคลอดและการเลี้ยงดูในช่วงต้นชีวิตอย่างเพียงพอ ส่งผลต่อความเป็นอยู่ที่ดีของเด็กในระยะยาว และควรให้ความสำคัญกับพัฒนาการทางอารมณ์มากกว่า IQ
ใน Huberman Lab Podcast ตอนพิเศษนี้ Dr. Andrew Huberman ได้เชิญ Dr. Allan Schore ผู้เชี่ยวชาญระดับโลกด้านจิตวิเคราะห์และประสาทวิทยา มาพูดคุยถึงบทบาทอันน่าทึ่งของความสัมพันธ์ในวัยเด็กที่มีต่อการหล่อหลอมสมองและบุคลิกภาพของเราไปตลอดชีวิต โดยเฉพาะอย่างยิ่งในช่วง 24 เดือนแรก ซึ่งเป็นช่วงที่สมองซีกขวาของเรามีการพัฒนาอย่างโดดเด่น
สมองซีกขวา: ขุมพลังแห่งจิตไร้สำนึกและอารมณ์
Dr. Schore เน้นย้ำว่าสมองซีกขวาคือส่วนสำคัญของจิตไร้สำนึกของเรา ทำหน้าที่ประมวลผลข้อมูลทางอารมณ์ในระดับที่ต่ำกว่าการรับรู้ตัวตนถึง 90-95% ในช่วง 24 เดือนแรกของชีวิต สมองซีกขวาจะพัฒนาอย่างรวดเร็ว โดยมีปฏิสัมพันธ์กับผู้ดูแลหลัก (มักจะเป็นแม่) เป็นปัจจัยสำคัญในการหล่อหลอมวงจรประสาทที่เกี่ยวข้องกับความผูกพันและการควบคุมอารมณ์
ความผูกพันในวัยเด็กและผลกระทบต่อวัยผู้ใหญ่
รูปแบบความผูกพันที่เราสร้างขึ้นในวัยเด็ก ไม่ว่าจะเป็นแบบมั่นคง (Secure), หลีกเลี่ยง (Avoidant), วิตกกังวล (Anxious) หรือสับสน (Disorganized) ล้วนมีรากฐานมาจากปฏิสัมพันธ์กับผู้ดูแลหลักในช่วงต้นชีวิต โดยเฉพาะอย่างยิ่งการซิงโครไนซ์ทางอารมณ์และสรีรวิทยา (Psychobiological Attunement) ระหว่างแม่กับทารก
- ความผูกพันแบบมั่นคง (Secure Attachment): เกิดจากการที่ผู้ดูแลสามารถปรับสมดุลอารมณ์ของทารกได้ดี ทั้งการปลอบประโลมเมื่อทารกหงุดหงิด (Down-regulate negative states) และการกระตุ้นเมื่อทารกอยู่ในภาวะร่าเริง (Up-regulate positive states) พร้อมทั้งมีการเยียวยาเมื่อเกิดความเข้าใจผิด (Misattunement and Repair) ทำให้เด็กเรียนรู้ที่จะควบคุมอารมณ์ของตนเองได้ทั้งแบบอัตโนมัติ (Auto-regulation) และแบบปฏิสัมพันธ์กับผู้อื่น (Interactive regulation)
- ความผูกพันแบบหลีกเลี่ยง (Avoidant Attachment): มักเกิดกับผู้ที่รู้สึกไม่สบายใจกับความใกล้ชิดสนิทสนม ทำให้พึ่งพาการควบคุมอารมณ์ด้วยตนเองเป็นหลัก และหลีกเลี่ยงการพึ่งพาผู้อื่นเมื่อเผชิญความเครียด
- ความผูกพันแบบวิตกกังวล (Anxious Attachment): ตรงกันข้ามกับแบบหลีกเลี่ยง ผู้ที่มีความผูกพันแบบนี้มักพึ่งพาผู้อื่นในการควบคุมอารมณ์ และมีปัญหาในการปลอบประโลมตัวเอง
- ความผูกพันแบบสับสน (Disorganized Attachment): เป็นรูปแบบที่ซับซ้อนและมักเกี่ยวข้องกับประสบการณ์ที่ไม่มั่นคง ทำให้บุคคลไม่สามารถควบคุมอารมณ์ได้ทั้งแบบอัตโนมัติและแบบปฏิสัมพันธ์ มักพบในผู้ป่วยที่มีภาวะ PTSD หรือ Borderline Personality Disorder
วงจรสมองและกลไกที่ใช้ในการสร้างความผูกพันระหว่างแม่กับทารกนั้น ถูกนำมาใช้ซ้ำในความสัมพันธ์ของผู้ใหญ่ ไม่ว่าจะเป็นความรัก มิตรภาพ หรือความสัมพันธ์ทางอาชีพ Dr. Schore ย้ำว่าความทรงจำในวัยเด็กเหล่านี้ถูกเก็บไว้ในสมองซีกขวาตั้งแต่ยังไม่มีสมองซีกซ้ายเข้ามาเกี่ยวข้อง และจะส่งผลต่อการตอบสนองต่อความเครียดในภายหลัง
จิตบำบัด: การเยียวยาผ่านปฏิสัมพันธ์สมองซีกขวาถึงสมองซีกขวา
Dr. Schore อธิบายว่าการบำบัดทางจิตวิทยาก็คือกระบวนการของการควบคุมอารมณ์แบบปฏิสัมพันธ์ระหว่างนักบำบัดกับผู้ป่วย นักบำบัดที่มีประสิทธิภาพจะสามารถ 'ยอมจำนน' (Surrender) ต่อการรับรู้จากสมองซีกขวา โดยการฟังสิ่งที่อยู่ลึกลงไปใต้คำพูดของผู้ป่วย ทั้งน้ำเสียง สีหน้า และท่าทาง เพื่อซิงโครไนซ์กับสภาวะทางอารมณ์และสรีรวิทยาของผู้ป่วย การซิงโครไนซ์นี้จะช่วยสร้าง 'ช่วงเวลาแห่งอารมณ์เข้มข้น' (Heightened Affective Moments) ที่ช่วยให้ผู้ป่วยสามารถเปิดเผยและประมวลผลอารมณ์เชิงลึกได้ ซึ่งนำไปสู่การเปลี่ยนแปลงที่แท้จริงในวงจรสมองซีกขวา
การบำรุงสมองซีกขวาในชีวิตประจำวัน
แม้ว่าการบำบัดจะเป็นวิธีที่มีประสิทธิภาพ แต่เราก็สามารถบำรุงและเยียวยาวงจรสมองซีกขวาได้ด้วยตนเองผ่านกิจกรรมต่างๆ:
- สร้างความสัมพันธ์ที่ใกล้ชิด: การหาคนที่เราสามารถเปิดใจ เปิดเผยความเปราะบาง และซิงโครไนซ์ทางอารมณ์ด้วยได้ เป็นสิ่งสำคัญที่สุดในการเปลี่ยนแปลงสมองซีกขวา
- สัมผัสธรรมชาติและการเดินทาง: การเปิดรับประสบการณ์ใหม่ๆ ความอยากรู้อยากเห็น และการอยู่ในธรรมชาติ ช่วยกระตุ้นสมองซีกขวา
- ดนตรีและศิลปะ: การฟังดนตรี การเล่นดนตรี การวาดภาพ หรือกิจกรรมสร้างสรรค์อื่นๆ ช่วยให้เรา 'ยอมจำนน' จากสมองซีกซ้ายเข้าสู่สมองซีกขวาได้
- การออกกำลังกายและการนอนหลับพักผ่อน: การดูแลร่างกายเป็นพื้นฐานสำคัญของการเยียวยาทั้งทางกายและใจ
- การไม่ท่องจำแต่ทำความเข้าใจ: การเรียนรู้โดยเน้นความเข้าใจอย่างลึกซึ้ง แทนที่จะท่องจำเพียงผิวเผิน ช่วยให้ข้อมูลฝังลึกในสมองซีกขวา
- ยอมรับอารมณ์ทั้งบวกและลบ: อารมณ์ทุกอย่างมีคุณค่าในการปรับตัว การรับรู้และยอมรับอารมณ์อย่างเต็มที่ ช่วยให้เราจัดการกับมันได้ดีขึ้น
Dr. Schore ย้ำว่าสังคมปัจจุบันมักให้ความสำคัญกับสมองซีกซ้าย (ตรรกะ เหตุผล IQ) มากเกินไป จนละเลยสมองซีกขวา ซึ่งเป็นรากฐานของมนุษยชาติ ความผูกพันทางอารมณ์ และความเป็นอยู่ที่ดี การศึกษาจาก London School of Economics ยังชี้ให้เห็นว่าปัจจัยที่ดีที่สุดที่ทำนายความพึงพอใจในชีวิตของผู้ใหญ่คือ 'อารมณ์' ตามมาด้วย 'ความประพฤติ' และสุดท้ายคือ 'IQ' ซึ่งสะท้อนให้เห็นว่าเราให้ความสำคัญกับสิ่งต่างๆ ผิดลำดับไป
เนื้อหาของ Dr. Andrew Huberman และ Dr. Allan Schore มีความละเอียดและลึกซึ้งมาก การทำความเข้าใจบทบาทของสมองซีกขวาและความสัมพันธ์ในวัยเด็กเป็นกุญแจสำคัญสู่การพัฒนาตนเองและสร้างความสัมพันธ์ที่ดีขึ้นในชีวิตประจำวัน หากต้องการรายละเอียดเชิงลึกและตัวอย่างเพิ่มเติม แนะนำให้รับชมคลิปฉบับเต็ม
ดูคลิปเต็มด้านบนเพื่อเจาะลึกทุกประเด็น!