สรุป: ปฏิรูปวิทยาศาสตร์และฟื้นฟูความเชื่อมั่นในสาธารณสุข | Andrew Huberman x Dr. Jay Bhattacharya

วันนี้เรามาสรุปคลิปจากช่อง Andrew Huberman ที่พูดถึงเรื่องการปฏิรูปวิทยาศาสตร์และฟื้นฟูความเชื่อมั่นในสาธารณสุข ซึ่งมีประโยชน์มากๆ สำหรับคนที่สนใจว่าผู้นำด้านวิทยาศาสตร์ระดับโลกกำลังมองเห็นปัญหาและวางแผนแก้ไขอย่างไร Dr. Jay Bhattacharya ผู้อำนวยการสถาบันสุขภาพแห่งชาติ (NIH) คนใหม่ ได้มาแบ่งปันมุมมองเชิงลึกและแผนการปฏิรูปที่กล้าหาญ ทั้งเรื่องการจัดสรรทุนวิจัย ปัญหาวิกฤตการทำซ้ำ บทเรียนจากสถานการณ์โควิด-19 และการฟื้นฟูความศรัทธาของประชาชนต่อวงการวิทยาศาสตร์

ดูวิดีโอต้นฉบับบน YouTube

สารบัญวิดีโอ

ประเด็นสำคัญ

  • **วิกฤตความเชื่อมั่นและอายุขัย:** อายุขัยเฉลี่ยของชาวอเมริกันไม่เพิ่มขึ้นตั้งแต่ปี 2012 และลดลงอย่างมากในช่วงโรคระบาดโควิด-19 ทำให้ประชาชนตั้งคำถามถึงประสิทธิภาพของระบบสาธารณสุขและวิทยาศาสตร์
  • **การปฏิรูป NIH:** Dr. Jay Bhattacharya ผู้อำนวยการ NIH คนใหม่ มีเป้าหมายที่จะปฏิรูปการจัดสรรทุนวิจัยให้สนับสนุนวิทยาศาสตร์พื้นฐานมากขึ้น ลดอคติ และส่งเสริมการค้นพบที่กล้าหาญจากนักวิทยาศาสตร์รุ่นใหม่
  • **ความโปร่งใสและวิกฤตการทำซ้ำ:** NIH จะริเริ่มโครงการแก้ไข 'วิกฤตการทำซ้ำ' โดยการให้ทุนสนับสนุนงานวิจัยที่เน้นการทำซ้ำ (Replication) สร้างวารสารสำหรับผลลัพธ์เชิงลบ และให้รางวัลพฤติกรรมที่ส่งเสริมความจริงและความร่วมมือในวงการวิทยาศาสตร์
  • **บทเรียนจากโควิด-19:** Dr. Bhattacharya วิจารณ์การล็อกดาวน์ คำสั่งสวมหน้ากาก และการสื่อสารเกี่ยวกับวัคซีนโควิด-19 ว่าขาดหลักฐานทางวิทยาศาสตร์ที่แข็งแกร่ง และทำลายความเชื่อมั่นของสาธารณชน เขาเน้นย้ำถึงความสำคัญของเสรีภาพทางวิชาการและการถกเถียงอย่างเปิดเผย
  • **การวิจัยออทิซึม:** NIH จะริเริ่มโครงการวิจัยขนาดใหญ่เพื่อหาสาเหตุของออทิซึมอย่างเปิดกว้าง โดยไม่จำกัดอยู่แค่สมมติฐานเกี่ยวกับวัคซีน และจะร่วมมือกับชุมชนผู้ปกครองเด็กออทิสติก

ในวิดีโอสัมภาษณ์เชิงลึกกับ Andrew Huberman, Dr. Jay Bhattacharya ผู้อำนวยการสถาบันสุขภาพแห่งชาติ (NIH) คนใหม่ ได้เปิดเผยวิสัยทัศน์ที่กล้าหาญในการปฏิรูปวงการวิทยาศาสตร์และฟื้นฟูความเชื่อมั่นของประชาชนในสาธารณสุข เขาเริ่มต้นด้วยการชี้ให้เห็นถึงวิกฤตอายุขัยของชาวอเมริกันที่หยุดนิ่งตั้งแต่ปี 2012 และลดลงอย่างรวดเร็วในช่วงโควิด-19 ซึ่งตรงกันข้ามกับประเทศในยุโรปที่อายุขัยเพิ่มขึ้นอย่างต่อเนื่อง สถานการณ์นี้ทำให้ประชาชนจำนวนมากรู้สึกว่าถูกหลอกลวงหรือวงการวิทยาศาสตร์ไม่ยอมรับความผิดพลาด

ภารกิจของ NIH: วิทยาศาสตร์พื้นฐานและการประยุกต์ใช้

Dr. Bhattacharya อธิบายว่าภารกิจหลักของ NIH คือการสนับสนุนงานวิจัยที่ส่งเสริมสุขภาพและอายุที่ยืนยาวของชาวอเมริกัน ซึ่งส่งผลดีต่อคนทั่วโลก NIH เป็นองค์กรชีวการแพทย์ชั้นนำที่อยู่เบื้องหลังการพัฒนายาและแนวทางปฏิบัติทางสุขภาพเกือบทุกอย่าง

เขาเน้นย้ำถึงความสำคัญของ วิทยาศาสตร์พื้นฐาน (Basic Science) ซึ่งเป็นการค้นพบความจริงทางชีววิทยาโดยไม่มีเป้าหมายการรักษาโรคใดๆ โดยเฉพาะ แม้ว่าผลลัพธ์อาจไม่ชัดเจนในทันที แต่เป็นรากฐานสำคัญที่นำไปสู่การรักษาและยาใหม่ๆ ในอนาคต งานวิจัยประเภทนี้มักไม่สามารถจดสิทธิบัตรได้ ทำให้ภาคเอกชนไม่มีแรงจูงใจในการลงทุน NIH จึงมีบทบาทสำคัญในการเติมเต็มช่องว่างนี้ ควบคู่ไปกับการวิจัยประยุกต์ (Applied Research) ที่มุ่งเน้นการพัฒนายาหรือการรักษาโรคโดยตรง

อย่างไรก็ตาม เขาชี้แจงว่าไม่มีแผนที่จะลดงบประมาณสำหรับวิทยาศาสตร์พื้นฐาน เพราะเชื่อว่าเป็นสิ่งที่ขับเคลื่อนความก้าวหน้าของวิทยาศาสตร์ในระยะยาว

ปัญหาค่าใช้จ่ายทางอ้อม (IDC) และการจัดสรรทุนมหาวิทยาลัย

Andrew Huberman หยิบยกประเด็นเรื่องค่าใช้จ่ายทางอ้อม (Indirect Costs - IDC) ซึ่งเป็นเงินที่มหาวิทยาลัยได้รับเพิ่มเติมจากทุนวิจัยของ NIH เพื่อครอบคลุมค่าใช้จ่ายด้านโครงสร้างพื้นฐานและการบริหารจัดการ Dr. Bhattacharya อธิบายว่าระบบนี้มีขึ้นตั้งแต่ช่วงปี 1940s เพื่อสนับสนุนมหาวิทยาลัยในการทำวิจัยที่เป็นประโยชน์ต่อประเทศชาติ

แต่ปัจจุบันระบบ IDC ทำให้ทุนวิจัยกระจุกตัวอยู่ในมหาวิทยาลัยชั้นนำไม่กี่แห่ง โดยเฉพาะตามแนวชายฝั่ง เนื่องจากมหาวิทยาลัยเหล่านี้มีนักวิทยาศาสตร์ที่สามารถคว้าทุน NIH ได้มาก ซึ่งนำไปสู่การขาดแคลนทุนสำหรับนักวิทยาศาสตร์ที่เก่งกาจในสถาบันอื่นๆ นอกจากนี้ อัตรา IDC ที่แตกต่างกันระหว่างทุน NIH (สูงถึง 50-75%) กับทุนจากมูลนิธิเอกชน (ประมาณ 15%) ยังเป็นประเด็นที่ต้องพิจารณา

ผู้เสียภาษีจ่ายสองต่อ และวิกฤตราคาแพง

ประเด็นที่สร้างความไม่พอใจให้กับประชาชนคือ ผู้เสียภาษีชาวอเมริกันเป็นผู้สนับสนุนการวิจัยและพัฒนาขั้นพื้นฐานผ่าน NIH แต่กลับต้องจ่ายเงินซื้อผลลัพธ์ของงานวิจัยเหล่านั้นในรูปของยาหรือผลิตภัณฑ์สุขภาพในราคาสูงกว่าประเทศอื่นถึง 2-10 เท่า ซึ่ง Dr. Bhattacharya เรียกว่า “อเมริกันเป็นกระปุกออมสินของโลก” สำหรับการวิจัยและพัฒนาทางยา โดยบริษัทใช้ราคาที่สูงในสหรัฐฯ เพื่อเป็นทุนในการวิจัยและพัฒนา รวมถึงการทดลองทางคลินิกขั้นสุดท้าย ซึ่งประเทศอื่น ๆ ไม่ยอมจ่ายในราคาเดียวกัน

ประธานาธิบดีทรัมป์ได้ออกคำสั่งผู้บริหารเพื่อลดความแตกต่างของราคายา โดยหวังว่ายุโรปและประเทศอื่นๆ จะแบกรับภาระค่าใช้จ่าย R&D อย่างเท่าเทียมกันมากขึ้น เพื่อให้ราคายาในสหรัฐฯ ลดลง และงานวิจัยมุ่งตอบสนองปัญหาสุขภาพที่ชาวอเมริกันเผชิญอยู่มากขึ้น เช่น โรคอ้วนและภาวะซึมเศร้า ซึ่งเป็นปัญหาที่ทำให้คุณภาพชีวิตและอายุขัยของคนอเมริกันไม่ดีขึ้นเลยตั้งแต่ปี 2012

วิกฤตการทำซ้ำ (Replication Crisis) และการส่งเสริมนักวิทยาศาสตร์รุ่นใหม่

Dr. Bhattacharya ชี้ให้เห็นถึง 'วิกฤตการทำซ้ำ' ซึ่งคือการที่ผลการวิจัยทางชีวการแพทย์จำนวนมากไม่สามารถทำซ้ำได้ ทำให้ความน่าเชื่อถือของวรรณกรรมทางวิทยาศาสตร์ลดลงอย่างมาก สาเหตุมาจากการที่ระบบการให้ทุนและรางวัลในวงการวิทยาศาสตร์ส่งเสริม 'ปริมาณ' และ 'อิทธิพล' มากกว่า 'ความจริง' และ 'ความซื่อสัตย์'

เขาเสนอ 3 แนวทางแก้ไข:

  1. ให้ทุนสนับสนุนงานวิจัยการทำซ้ำ: สร้างเส้นทางอาชีพที่มั่นคงสำหรับนักวิทยาศาสตร์ที่ทำงานด้านการทำซ้ำและเมตา-อะนาไลซิส (Meta-analysis) ซึ่งเป็นการประเมินความจริงของงานวิจัยที่มีอยู่
  2. จัดตั้งวารสารสำหรับผลลัพธ์เชิงลบ: สร้างวารสารที่ NIH สนับสนุน เพื่อตีพิมพ์ผลลัพธ์เชิงลบ (Negative Results) หรือผลลัพธ์ที่ไม่สามารถทำซ้ำได้ ซึ่งถือเป็นความก้าวหน้าทางวิทยาศาสตร์ที่สำคัญ
  3. วัดพฤติกรรมที่ส่งเสริมสังคม: นอกเหนือจากการนับจำนวนการตีพิมพ์และการอ้างอิง ควรให้รางวัลแก่นักวิทยาศาสตร์ที่แบ่งปันข้อมูลอย่างเปิดเผย ให้ความร่วมมือในการทำซ้ำ และยอมรับความผิดพลาด

นอกจากนี้ เขายังมุ่งมั่นที่จะสนับสนุนนักวิทยาศาสตร์รุ่นใหม่ เพราะงานวิจัยที่ 'กล้าหาญ' และ 'สร้างสรรค์' มักจะมาจากนักวิทยาศาสตร์ที่เพิ่งเริ่มต้นอาชีพ ซึ่งปัจจุบันต้องใช้เวลานานขึ้นกว่าจะได้ทุนสนับสนุน

DEI และการเมืองในวิทยาศาสตร์

Dr. Bhattacharya กล่าวถึงการเปลี่ยนแปลงนโยบายเกี่ยวกับ Diversity, Equity, and Inclusion (DEI) ใน NIH ภายใต้การบริหารใหม่ โดยยืนยันว่า NIH ยังคงสนับสนุนงานวิจัยที่เกี่ยวข้องกับสุขภาพของประชากรกลุ่มน้อยและกลุ่มเปราะบาง เช่น การวิจัยโรคโลหิตจางชนิดเคียว (Sickle Cell Anemia) ที่พบบ่อยในชาวแอฟริกัน-อเมริกัน อย่างไรก็ตาม เขาไม่เชื่อว่าแนวคิด 'เหยียดเชื้อชาติเชิงโครงสร้าง' (Structural Racism) เป็นวิทยาศาสตร์ที่สามารถทดสอบได้ และมองว่าการใช้เชื้อชาติเป็นเกณฑ์ในการจัดสรรทุนวิจัยเป็นการเลือกปฏิบัติที่ขัดต่อกฎหมายสิทธิพลเมืองและบ่อนทำลายความเชื่อมั่นของประชาชน

เขาย้ำว่าการตัดสินใจให้ทุนควรขึ้นอยู่กับ 'คุณภาพของแนวคิดทางวิทยาศาสตร์' ไม่ใช่เชื้อชาติหรือภูมิหลังของผู้เสนอโครงการ

บทเรียนจากโควิด-19 และการฟื้นฟูความเชื่อมั่น

Dr. Bhattacharya เป็นผู้ที่ออกมาคัดค้านนโยบายล็อกดาวน์ คำสั่งสวมหน้ากาก และคำสั่งบังคับฉีดวัคซีนอย่างเปิดเผยในช่วงโควิด-19 เขามองว่ามาตรการเหล่านี้เป็นความผิดพลาดครั้งใหญ่ที่ส่งผลกระทบอย่างรุนแรงต่อเด็ก ผู้ยากไร้ และชนชั้นแรงงาน โดยยกตัวอย่างสวีเดนที่ไม่ปิดโรงเรียนสำหรับเด็กอายุต่ำกว่า 16 ปี และมีผลลัพธ์ด้านสุขภาพไม่ต่างจากฟินแลนด์ที่ปิดโรงเรียน

เขาวิจารณ์วงการวิทยาศาสตร์และสาธารณสุขที่ยึดติดกับ 'การสื่อสารที่เป็นเอกฉันท์' (Unanimity of Messaging) แทนที่จะส่งเสริม 'เสรีภาพในการแสดงออกทางวิทยาศาสตร์' ซึ่งนำไปสู่การปราบปรามความคิดเห็นที่แตกต่าง การเซ็นเซอร์ข้อมูล และการบ่อนทำลายความเชื่อมั่นของประชาชน

เกี่ยวกับวัคซีนโควิด-19 เขาชี้ว่าข้อมูลจากการทดลองแบบสุ่มในเดือนธันวาคม 2020 แสดงให้เห็นถึงประสิทธิภาพในการลดอาการป่วยเป็นเวลา 2 เดือน แต่ไม่ได้ยืนยันการลดอัตราการเสียชีวิตหรือการป้องกันการแพร่เชื้อได้อย่างถาวร การสื่อสารของหน่วยงานสาธารณสุขที่เกินจริงทำให้ประชาชนเข้าใจผิดว่าวัคซีนจะกำจัดโควิดได้ ซึ่งเมื่อไม่เป็นจริง ก็ยิ่งทำให้ความเชื่อมั่นลดลง

เขาเชื่อว่าวัคซีนหลายชนิดมีประโยชน์และช่วยชีวิตคนได้จริง แต่การประเมินวัคซีนควรเป็นไปอย่างซื่อสัตย์ อิงหลักฐานทางวิทยาศาสตร์ ประเมินประโยชน์และความเสี่ยงอย่างรอบด้าน ไม่ใช่เป็นเรื่องของความเชื่อทางศาสนา

วัคซีนกับออทิซึม: การสำรวจอย่างเปิดกว้างของ NIH

หนึ่งในประเด็นที่ละเอียดอ่อนที่สุดคือความเชื่อมโยงระหว่างวัคซีนกับออทิซึม Dr. Bhattacharya ยอมรับว่าข้อมูลของ Andrew Wakefield ที่เป็นที่ถกเถียงนั้นมีการบิดเบือน แต่ก็ชี้ว่าอัตราการเกิดออทิซึมเพิ่มขึ้นอย่างมากในช่วงหลายปีที่ผ่านมา และยังไม่มีคำตอบที่ชัดเจนถึงสาเหตุที่แท้จริง

เขาประกาศว่า NIH จะริเริ่มโครงการวิจัยขนาดใหญ่เพื่อสำรวจ 'สาเหตุของออทิซึม' อย่างเปิดกว้าง โดยไม่จำกัดสมมติฐาน และไม่มุ่งเน้นที่วัคซีนเพียงอย่างเดียว แต่จะพิจารณาปัจจัยด้านสิ่งแวดล้อม พันธุกรรม และชีววิทยาอื่นๆ ด้วย โครงการนี้จะดำเนินการด้วยมาตรฐาน 'Gold Standard Science' มีกลุ่มควบคุมที่เหมาะสม และจะร่วมมือกับชุมชนผู้ปกครองเด็กออทิสติก เพื่อให้ได้คำตอบที่น่าเชื่อถือและเป็นประโยชน์ต่อครอบครัวที่ได้รับผลกระทบ

Dr. Jay Bhattacharya มีเป้าหมายที่จะสร้างวัฒนธรรมวิทยาศาสตร์ที่เน้นการค้นหาความจริง การถกเถียงอย่างเสรี และการสนับสนุนนักวิทยาศาสตร์ที่กล้าหาญ โดยหวังว่าการปฏิรูปเหล่านี้จะช่วยฟื้นฟูความเชื่อมั่นของประชาชน และนำไปสู่ความก้าวหน้าทางสุขภาพที่แท้จริงสำหรับทุกคน

เนื้อหาของ Dr. Andrew Huberman และ Dr. Jay Bhattacharya มีความละเอียดสูงมาก แนะนำให้ดูฉบับเต็มเพื่อความเข้าใจที่สมบูรณ์และได้ยินมุมมองจากผู้เชี่ยวชาญโดยตรง

ดูคลิปเต็มด้านบนเพื่อเจาะลึกบทสนทนานี้ หรืออ่านบทความเชิงลึกอื่น ๆ ต่อไปเพื่อเรียนรู้เพิ่มเติมเกี่ยวกับการพัฒนาสุขภาพและวิทยาศาสตร์