สรุป Journal Club กับ Dr. Peter Attia: Metformin เพื่ออายุยืนยาว และพลังแห่งความเชื่อที่ส่งผลต่อสมอง

วันนี้เรามาสรุปคลิปจากช่อง Andrew Huberman ที่จัด Journal Club ครั้งแรกกับ Dr. Peter Attia ผู้เชี่ยวชาญด้านสุขภาพและอายุยืนยาว โดยพวกเขาได้เจาะลึกงานวิจัย 2 ชิ้นที่น่าสนใจอย่างยิ่ง ซึ่งมีประโยชน์มากๆ สำหรับคนที่สนใจเรื่องสุขภาพเชิงลึก วิทยาศาสตร์การแพทย์ และกลไกการทำงานของสมอง

ดูวิดีโอต้นฉบับบน YouTube

สารบัญวิดีโอ

ประเด็นสำคัญ

  • งานวิจัยใหม่ชี้ว่า Metformin อาจไม่ได้มีประโยชน์ด้านอายุยืนยาวสำหรับคนที่ไม่เป็นเบาหวานอย่างที่เคยเชื่อกัน
  • ความเชื่อของเราเกี่ยวกับขนาดยา สามารถเปลี่ยนการตอบสนองทางสรีรวิทยาของสมองได้อย่างแท้จริง แม้จะได้รับยาในปริมาณเท่ากัน
  • การทำความเข้าใจข้อจำกัดของงานวิจัย โดยเฉพาะระบาดวิทยา มีความสำคัญอย่างยิ่งต่อการตีความข้อมูลสุขภาพ
  • ภาวะดื้ออินซูลินเป็นรากฐานของโรคเบาหวานประเภท 2 ซึ่งมีสาเหตุหลักมาจากการไม่ออกกำลังกายและการจัดการพลังงานในร่างกายที่ไม่สมดุล
  • สมองของเราเป็นเครื่องจักรแห่งการทำนายและตีความข้อมูล ซึ่งความเชื่อมีบทบาทสำคัญในการกำหนดการตอบสนองทางชีววิทยา

ใน Journal Club ครั้งแรกนี้ Dr. Andrew Huberman และ Dr. Peter Attia ได้ร่วมกันวิเคราะห์งานวิจัย 2 ชิ้นที่สร้างความเข้าใจใหม่เกี่ยวกับสุขภาพและชีววิทยาของมนุษย์

Metformin: ยาอายุวัฒนะจริงหรือ?

Dr. Peter Attia เริ่มต้นด้วยการเจาะลึกยา Metformin ซึ่งเป็นยาที่ใช้รักษาโรคเบาหวานประเภท 2 มานานกว่า 50 ปี กลไกหลักของมันคือการยับยั้ง Complex I ในไมโทคอนเดรีย ซึ่งช่วยลดการผลิตกลูโคสของตับ และลดภาวะดื้ออินซูลินในกล้ามเนื้อ ซึ่งเป็นปัญหาหลักของเบาหวานประเภท 2 สาเหตุสำคัญของภาวะดื้ออินซูลิน ได้แก่ การไม่ออกกำลังกาย การนอนหลับไม่เพียงพอ และความเครียดเรื้อรัง (ระดับคอร์ติซอลสูง) รวมถึงการสะสมไขมันในกล้ามเนื้อ ตับ และตับอ่อน

ก่อนหน้านี้ งานวิจัยของ Banister (2014) ได้สร้างความตื่นเต้นอย่างมาก โดยชี้ให้เห็นว่าผู้ป่วยเบาหวานประเภท 2 ที่ใช้ Metformin อาจมีอัตราการเสียชีวิตจากทุกสาเหตุต่ำกว่ากลุ่มควบคุมที่ไม่เป็นเบาหวานด้วยซ้ำ ทำให้เกิดแนวคิดเรื่อง “Geroprotection” หรือการปกป้องจากความชรา อย่างไรก็ตาม Dr. Attia ได้ชี้ให้เห็นถึงข้อจำกัดสำคัญของงานวิจัย Banister คือ “Informative Censoring” ซึ่งเป็นการคัดผู้ป่วยที่เลิกใช้ยาหรืออาการแย่ลงออกจากการศึกษา ทำให้ผลลัพธ์ดูดีเกินจริง

งานวิจัยใหม่ของ Keyes และคณะ (2023) ได้ทำการประเมินซ้ำโดยใช้ข้อมูลขนาดใหญ่จากประชากรเดนมาร์กกว่าครึ่งล้านคน รวมถึงการศึกษาในคู่แฝดที่คนหนึ่งเป็นเบาหวานและอีกคนไม่เป็น ผลการศึกษาของ Keyes ชี้ชัดว่า Metformin ไม่ได้ให้ประโยชน์ด้านอายุยืนยาวที่เหนือกว่าข้อเสียของการเป็นเบาหวานประเภท 2 เลย ผู้ป่วยเบาหวานที่ใช้ Metformin ยังคงมีอัตราการเสียชีวิตสูงกว่าคนที่ไม่เป็นเบาหวานอย่างมีนัยสำคัญ แม้จะมีการปรับแก้ปัจจัยกวนต่างๆ แล้วก็ตาม

จากข้อมูลเหล่านี้ Dr. Attia ซึ่งเคยใช้ Metformin เพื่อจุดประสงค์ด้านอายุยืนยาว ได้ตัดสินใจหยุดใช้ยา เพราะพบว่า Metformin ไปเพิ่มระดับแลคเตทในเลือดขณะพัก ซึ่งบ่งชี้ถึงการทำงานของไมโทคอนเดรียที่ด้อยลง และอาจลดประสิทธิภาพการออกกำลังกายแบบ Zone 2 ของเขา

พลังแห่งความเชื่อที่ส่งผลต่อสมอง (Belief Effects)

Dr. Andrew Huberman ได้นำเสนออีกงานวิจัยที่น่าทึ่ง (Pearl et al., pre-print) ที่สำรวจว่าความเชื่อของเราเกี่ยวกับขนาดยา สามารถเปลี่ยนการตอบสนองทางสรีรวิทยาของสมองได้อย่างไร เขาอธิบายความแตกต่างระหว่าง “ผลกระทบจากยาหลอก” (Placebo Effect) ที่เป็นแบบ “มีหรือไม่มี” กับ “ผลกระทบจากความเชื่อ” (Belief Effect) ที่สามารถปรับขนาดได้ตามปริมาณและประเภทของข้อมูลที่เราได้รับ

งานวิจัยนี้ทำการทดลองกับผู้สูบบุหรี่ โดยให้สูบนิโคตินจาก Vape Pen ในปริมาณที่ต่ำและเท่ากันทุกคน แต่แบ่งกลุ่มผู้เข้าร่วมและบอกพวกเขาว่าได้รับนิโคตินในปริมาณ “ต่ำ” “ปานกลาง” หรือ “สูง” ผลลัพธ์ที่น่าตกใจคือ ความรู้สึกส่วนตัว การทำงานของสมอง (ที่วัดด้วย fMRI โดยเฉพาะใน Thalamus และ Prefrontal Cortex) และแม้แต่ประสิทธิภาพในภารกิจที่เกี่ยวข้องกับการตัดสินใจและรางวัล ล้วนปรับขนาดตาม “ความเชื่อ” เกี่ยวกับขนาดยาที่ได้รับ ไม่ใช่ปริมาณนิโคตินจริงในกระแสเลือด

นี่เป็นงานวิจัยแรกๆ ที่แสดงให้เห็นถึง “Dose-Dependent Response” ของผลกระทบจากความเชื่อ ซึ่งหมายความว่าสมองของเราสามารถเปลี่ยนการทำงานทางสรีรวิทยาเพื่อตอบสนองต่อความคาดหวังเกี่ยวกับขนาดยาได้ งานวิจัยนี้มีนัยยะสำคัญอย่างยิ่งต่อการทำความเข้าใจประสิทธิภาพของยา ผลข้างเคียง (Nocebo Effect) และแม้กระทั่งการออกแบบการบำบัดรักษาต่างๆ ในอนาคต

วิธีอ่านงานวิจัยทางวิทยาศาสตร์

Andrew Huberman ยังได้แบ่งปันเคล็ดลับในการอ่านงานวิจัยทางวิทยาศาสตร์ โดยแนะนำให้ถาม 4 คำถามหลัก: (1) คำถามหลักและคำถามเฉพาะของงานวิจัยคืออะไร? (2) พวกเขาใช้วิธีการใดในการทดสอบ? (3) พวกเขาค้นพบอะไร? และ (4) ข้อสรุปของงานวิจัยสอดคล้องกับสิ่งที่พวกเขาค้นพบและวิธีการที่ใช้หรือไม่? การฝึกฝนทักษะการวิเคราะห์นี้เป็นสิ่งสำคัญในการทำความเข้าใจวิทยาศาสตร์อย่างแท้จริง

เนื้อหาของ Dr. Andrew Huberman และ Dr. Peter Attia มีความละเอียดสูงมาก และเน้นการวิเคราะห์เชิงวิพากษ์ ซึ่งเป็นสิ่งสำคัญในการทำความเข้าใจข้อมูลสุขภาพและวิทยาศาสตร์ การเปิดใจรับข้อมูลใหม่ๆ และตั้งคำถามกับสิ่งที่เคยเชื่อ เป็นกุญแจสำคัญสู่ความรู้ที่ถูกต้อง

ดูคลิปเต็มด้านบนเพื่อเจาะลึกรายละเอียดการวิเคราะห์งานวิจัยและการสนทนาที่น่าสนใจ หรืออ่านบทความเชิงลึกอื่น ๆ ต่อไป