สรุปเจาะลึก Ketamine: ประโยชน์, ความเสี่ยง และกลไกการทำงานในสมองเพื่อรักษาภาวะซึมเศร้าและ PTSD | Huberman Lab

วันนี้เรามาสรุปคลิปความรู้เชิงลึกจากช่อง Andrew Huberman ที่พูดถึง "Ketamine" สารประกอบที่น่าทึ่งซึ่งถูกใช้ในการรักษาภาวะซึมเศร้า, การฆ่าตัวตาย, และ PTSD ในทางการแพทย์ แต่ก็เป็นที่นิยมในการใช้เพื่อสันทนาการเช่นกัน บทความนี้จะพาคุณไปสำรวจกลไกการทำงานของ Ketamine ในสมอง ทั้งประโยชน์ ความเสี่ยง ปริมาณการใช้ และความสำคัญของ Neuroplasticity

ดูวิดีโอต้นฉบับบน YouTube

สารบัญวิดีโอ

ประเด็นสำคัญ

  • Ketamine เป็นยาที่มีศักยภาพในการรักษาภาวะซึมเศร้า, PTSD, และความคิดฆ่าตัวตาย โดยออกฤทธิ์เร็วและมีผลลัพธ์ที่ยั่งยืนหากใช้ในบริบททางคลินิกที่เหมาะสม
  • กลไกการทำงานของ Ketamine มีความซับซ้อน โดยเกี่ยวข้องกับการปลดบล็อก NMDA receptor บนเซลล์ประสาทที่ยับยั้งการทำงาน (inhibitory neurons) ทำให้เซลล์ประสาทกระตุ้น (excitatory neurons) ทำงานมากขึ้น และกระตุ้น Neuroplasticity รวมถึงการกระตุ้นระบบโอปิออยด์และ BDNF
  • การใช้ Ketamine มีความเสี่ยงสูง ทั้งการติดยา "K-hole" และผลข้างเคียงต่อร่างกาย รวมถึงความสำคัญของพฤติกรรม "ต้านภาวะซึมเศร้า" ที่ต้องทำควบคู่ไปกับการรักษาเพื่อผลลัพธ์ที่ยั่งยืน

Andrew Huberman พาเราเจาะลึกเรื่องราวของ Ketamine สารประกอบที่มีทั้งคุณและโทษในเวลาเดียวกัน จากยาชาที่ใช้ในโรงพยาบาล สู่ความหวังใหม่ในการรักษาโรคทางจิตเวชที่รักษายาก และในขณะเดียวกันก็เป็นยาที่ถูกนำไปใช้ในทางที่ผิดจนเกิดปัญหาการติดยา

Ketamine: ยาชาที่เปลี่ยนสมอง

Ketamine เป็นยาชาชนิด dissociative anesthetic ที่คล้ายกับ PCP (Phencyclidine) ซึ่งเคยถูกมองว่าเป็นยาอันตราย แต่ปัจจุบัน Ketamine ถูกนำมาใช้ในการรักษาภาวะซึมเศร้า, PTSD, และความคิดฆ่าตัวตายในบริบททางคลินิก สิ่งที่น่าสนใจคือ Ketamine ไม่ได้แค่บรรเทาอาการชั่วคราว แต่ยังสามารถเปลี่ยนแปลงวงจรประสาทในสมองได้ในระยะยาว หรือที่เรียกว่า Neuroplasticity

กลไกการทำงานที่ซับซ้อน: NMDA, BDNF และ Opioid

เดิมทีการรักษาภาวะซึมเศร้าอิงจากสมมติฐาน Monoamine (เซโรโทนิน, โดปามีน, นอร์เอพิเนฟริน) ซึ่งได้ผลเพียง 40% และมีผลข้างเคียงมาก Ketamine จึงเข้ามาเป็นทางเลือกใหม่ที่ออกฤทธิ์ต่างออกไป

  • NMDA Receptor: Ketamine ออกฤทธิ์โดยการบล็อก NMDA receptor ซึ่งเป็นกุญแจสำคัญของ Neuroplasticity Paradox คือการบล็อกตัวรับนี้กลับนำไปสู่การเพิ่ม Neuroplasticity ในวงจรที่เกี่ยวข้องกับอารมณ์
  • เซลล์ประสาท Excitatory และ Inhibitory: Ketamine จะไปบล็อก NMDA receptor บน inhibitory neurons (เซลล์ประสาทที่ยับยั้งการทำงาน) ทำให้เซลล์เหล่านี้ทำงานลดลง ส่งผลให้ excitatory neurons (เซลล์ประสาทที่กระตุ้นการทำงาน) มีกิจกรรมเพิ่มขึ้นในลักษณะ 'bursting' ซึ่งเป็นรูปแบบการทำงานที่สมบูรณ์แบบสำหรับการกระตุ้น Neuroplasticity
  • BDNF (Brain-Derived Neurotrophic Factor): การทำงานของ Ketamine ยังเกี่ยวข้องกับการหลั่ง BDNF ซึ่งเป็นโปรตีนที่สำคัญต่อการเจริญเติบโตและการเปลี่ยนแปลงของเซลล์ประสาท มีหลักฐานบ่งชี้ว่า BDNF อาจเป็นกลไกหลักที่ทำให้ Ketamine บรรเทาภาวะซึมเศร้าได้
  • ระบบ Opioid: นอกจากนี้ Ketamine ยังมีผลต่อระบบ Opioid ในสมอง ซึ่งเป็นอีกหนึ่งกลไกสำคัญที่ทำให้เกิดผลต้านภาวะซึมเศร้า การศึกษาพบว่าการบล็อกตัวรับ Opioid ด้วยยา Naltrexone สามารถลดผลต้านซึมเศร้าของ Ketamine ได้อย่างมีนัยสำคัญ แม้ว่าผู้ป่วยจะยังคงมีประสบการณ์ dissociative state อยู่ก็ตาม

การแยกสภาวะจิต (Dissociation) และ K-hole

Ketamine ทำให้เกิดสภาวะที่เรียกว่า Dissociation คือความรู้สึกแยกขาดจากร่างกายตัวเอง ผู้ป่วยอาจรู้สึกเหมือนกำลังเฝ้าดูตัวเองจากมุมมองบุคคลที่สาม ซึ่งเป็นผลมาจากการที่ Ketamine ทำให้วงจรประสาทในสมองส่วน neocortex และ subcortical regions ทำงานแยกจากกัน และเปลี่ยนรูปแบบคลื่นสมองจาก Alpha ไปเป็น Theta สภาวะ K-hole คือการได้รับ Ketamine ในปริมาณที่มากเกินไปจนเข้าสู่สภาวะคล้ายการวางยาสลบเต็มตัว ซึ่งเป็นอันตรายถึงชีวิตได้ โดยเฉพาะเมื่อใช้ร่วมกับยาหรือแอลกอฮอล์

การใช้ยา ปริมาณ และความเสี่ยง

ปริมาณ Ketamine ที่ใช้ในการรักษาภาวะซึมเศร้าคือ 0.5 มิลลิกรัมต่อน้ำหนักตัว 1 กิโลกรัม โดยการฉีดเข้าเส้นเลือดหรือกล้ามเนื้อ การรับประทานทางปากหรืออมใต้ลิ้นจะต้องใช้ปริมาณที่สูงกว่ามาก (ประมาณ 3 เท่า) เนื่องจากยาจะถูกดูดซึมเข้าระบบได้น้อยกว่า ผู้ป่วยควรระมัดระวังอย่างยิ่งในการใช้ยาเองที่บ้าน แม้จะได้รับยาอย่างถูกกฎหมายก็ตาม เนื่องจากความไวของแต่ละบุคคลต่อยาแตกต่างกันมาก และมีความเสี่ยงต่อการเกิด K-hole หรืออาการชักได้ โดยเฉพาะในผู้ที่มีประวัติ

Ketamine รูปแบบต่างๆ และ Microdosing

Ketamine มีหลายรูปแบบ ได้แก่ R, S และ RS (Racemic) จากข้อมูลทางคลินิกพบว่ารูปแบบ RS มีประสิทธิภาพสูงสุดในการรักษาภาวะซึมเศร้า รองลงมาคือ S-ketamine (ซึ่งเป็นรูปแบบที่ใช้กันมากที่สุดในปัจจุบัน) และ R-ketamine มีประสิทธิภาพน้อยที่สุด ส่วนการใช้ Ketamine แบบ Microdosing นั้น ณ ปัจจุบันยังไม่มีหลักฐานทางคลินิกใดๆ ที่ยืนยันว่ามีประสิทธิภาพในการรักษาภาวะซึมเศร้า

'Better Living Through Chemistry Still Requires Better Living'

สิ่งสำคัญที่ Huberman เน้นย้ำคือ แม้ Ketamine จะช่วยปรับเปลี่ยนวงจรประสาทและยกระดับอารมณ์ได้ แต่ผลลัพธ์ที่ยั่งยืนนั้นต้องอาศัย 'พฤติกรรมต้านภาวะซึมเศร้า' ควบคู่ไปด้วย เช่น การรับแสงแดดยามเช้า, การนอนหลับที่มีคุณภาพ, โภชนาการที่ดี, และการมีปฏิสัมพันธ์ทางสังคม หากผู้ป่วยยังคงมีพฤติกรรมที่ส่งเสริมภาวะซึมเศร้า ผลจากการรักษาก็จะไม่ยั่งยืน Ketamine ช่วย 'ปรับสมดุล' สมองให้พร้อมสำหรับการเปลี่ยนแปลง แต่การเปลี่ยนแปลงนั้นจะเกิดขึ้นได้จริงก็ต่อเมื่อเราลงมือทำพฤติกรรมที่ส่งเสริมสุขภาพจิตที่ดี

เนื้อหาของ Dr. Andrew Huberman มีความละเอียดและซับซ้อนอย่างยิ่ง การทำความเข้าใจกลไกเหล่านี้อย่างถ่องแท้เป็นสิ่งสำคัญสำหรับผู้ที่สนใจการใช้ Ketamine ในบริบททางคลินิก แนะนำให้ปรึกษาแพทย์ผู้เชี่ยวชาญก่อนการตัดสินใจใดๆ

ดูคลิปเต็มด้านบนเพื่อข้อมูลเชิงลึกเพิ่มเติม หรืออ่านบทความวิทยาศาสตร์ที่น่าสนใจอื่น ๆ ต่อไป