ประเด็นสำคัญ
- การรับรู้ทางเพศ: การค้นพบเซลล์ประสาท Krauss corpuscle ที่เป็นกุญแจสำคัญต่อความรู้สึกทางเพศ ซึ่งอาจนำไปสู่การทำความเข้าใจความแตกต่างของแต่ละบุคคลและการเปลี่ยนแปลงตามอายุ
- ความแตกต่างเฉพาะตัว: แต่ละบุคคลมีการรับรู้โลกภายนอกไม่เหมือนกัน ทั้งกลิ่น สี หรือแม้แต่ความร้อน ขึ้นอยู่กับพันธุกรรม ประสบการณ์ และพัฒนาการแบบสุ่ม ซึ่งเป็นพื้นฐานของความหลากหลายในมนุษย์
- สมองน้อย (Cerebellum): ไม่ใช่แค่ควบคุมการเคลื่อนไหว แต่ยังทำหน้าที่ 'ทำนายอนาคตอันใกล้' เพื่อนำทางพฤติกรรม ทั้งทางกายภาพและทางสังคม ซึ่งเป็นบทบาทที่ซับซ้อนกว่าที่เคยเข้าใจ
- Mind-Body Connection: ความคิดและสภาวะทางร่างกายเชื่อมโยงกันอย่างลึกซึ้ง โดยมีกลไกทางชีววิทยาที่ซับซ้อน เช่น สัญญาณประสาท ฮอร์โมน และไซโตไคน์ ที่ส่งผลต่อสุขภาพจิตและกายอย่างมีนัยสำคัญ
- บทเรียนจากความตาย: เรื่องราวส่วนตัวของ ดร. ลินเดน ที่ได้รับการวินิจฉัยว่าเป็นมะเร็งหัวใจ สอนให้เราเห็นคุณค่าของชีวิต ความกตัญญู และการที่สมองมนุษย์ไม่สามารถจินตนาการถึงการไม่มีอยู่ของตนเองได้ ซึ่งนำไปสู่การสร้างแนวคิดเรื่องชีวิตหลังความตาย
ในตอนพิเศษของ Andrew Huberman Lab Podcast นี้ ดร. แอนดรูว์ ฮิวเบอร์แมน ได้เชิญ ดร. เดวิด ลินเดน ศาสตราจารย์ด้านประสาทวิทยาจาก Johns Hopkins School of Medicine มาเจาะลึกหลากหลายประเด็นอันน่าสนใจ ตั้งแต่กลไกทางประสาทวิทยาที่ซับซ้อน ไปจนถึงแง่มุมส่วนตัวที่สะท้อนถึงแก่นแท้ของความเป็นมนุษย์
การรับรู้ทางประสาทสัมผัสและความแตกต่างเฉพาะตัว
ดร. ลินเดน เริ่มต้นด้วยการแบ่งปันการค้นพบล่าสุดที่น่าตื่นเต้นเกี่ยวกับ Krauss corpuscle ซึ่งเป็นเซลล์ประสาทรับสัมผัสที่พบมากในอวัยวะเพศ และเป็นกุญแจสำคัญต่อความรู้สึกทางเพศ การค้นพบนี้เปิดมิติใหม่ในการทำความเข้าใจว่าเหตุใดแต่ละบุคคลจึงมีความชอบและประสบการณ์ทางเพศที่แตกต่างกัน รวมถึงผลกระทบของการเปลี่ยนแปลงตามอายุ
ประเด็นสำคัญถัดมาคือ ความแตกต่างเฉพาะตัวของมนุษย์ ที่ ดร. ลินเดน ได้เขียนไว้ในหนังสือชื่อ Unique เขาอธิบายว่า แม้แต่นักวิทยาศาสตร์ก็มักจะมองข้ามความหลากหลายนี้ในการทดลอง แต่แท้จริงแล้ว มนุษย์แต่ละคนรับรู้โลกแตกต่างกันอย่างน่าทึ่ง ตัวอย่างเช่น การรับรู้กลิ่น: สารเคมีบางชนิดอาจมีกลิ่นเหมือนเนยแข็งพาร์เมซานสำหรับคนหนึ่ง แต่อาจมีกลิ่นเหมือนอาเจียนสำหรับอีกคนหนึ่ง ซึ่งขึ้นอยู่กับยีนตัวรับกลิ่นที่แตกต่างกัน นอกจากนี้ ประสบการณ์ในวัยเด็กยังมีผลต่อการมองเห็น เช่น เด็กที่ใช้เวลาอยู่กลางแจ้งน้อยกว่ามักจะมีแนวโน้มสายตาสั้นมากขึ้น
พันธุกรรม ประสบการณ์ และพัฒนาการแบบสุ่ม
การพูดคุยเข้าสู่เรื่อง Nature vs. Nurture หรือธรรมชาติกับการเลี้ยงดู ดร. ลินเดน ชี้ว่าแนวคิดนี้มักถูกเข้าใจผิดว่าเป็นการต่อสู้กัน แต่แท้จริงแล้วทั้งสองปัจจัยมีการ ปฏิสัมพันธ์กันอย่างซับซ้อน ไม่ใช่การแข่งขัน เขาเสนอให้เรียกว่า “สมมติฐานลินเดน” ซึ่งประกอบด้วย “พันธุกรรมที่ปฏิสัมพันธ์กับประสบการณ์ที่ถูกกรองผ่านธรรมชาติแบบสุ่มของพัฒนาการ” (heritability interacting with experience filtered through the random nature of development)
ตัวอย่างเช่น ความสูงของคน ไม่ได้ขึ้นอยู่กับพันธุกรรม 100% แต่ยังได้รับอิทธิพลจากโภชนาการและโรคภัยไข้เจ็บในวัยเด็กด้วย นอกจากนี้ ยังมีปรากฏการณ์ พัฒนาการแบบสุ่ม (stochastic development) ที่แม้แต่แฝดเหมือนที่มี DNA เหมือนกัน ก็ยังมีอวัยวะและพฤติกรรมที่แตกต่างกันเล็กน้อยตั้งแต่แรกเกิด ซึ่งแสดงให้เห็นว่ากระบวนการสร้างร่างกายและสมองนั้นมีองค์ประกอบของความสุ่มอยู่เสมอ
ดร. ลินเดน ยังกล่าวถึงผลกระทบจากประสบการณ์ของแม่ระหว่างตั้งครรภ์ โดยยกตัวอย่างจากไข้หวัดใหญ่ระบาดปี 1918 ที่พบว่าทารกที่อยู่ในครรภ์มารดาที่ติดเชื้อไข้หวัดใหญ่ในไตรมาสแรก มีความเสี่ยงสูงขึ้นที่จะเป็นโรคจิตเภทและออทิซึมในภายหลัง ซึ่งอาจเกิดจากปฏิกิริยาของระบบภูมิคุ้มกันที่ส่งผลต่อพัฒนาการของสมอง
สมองน้อย (Cerebellum) และการเชื่อมโยงกายจิต (Mind-Body Connection)
ในการอธิบาย สมองน้อย (Cerebellum) หรือ 'mini brain' ที่หลายคนรู้จักกันดีว่าควบคุมการทรงตัวและการเคลื่อนไหว ดร. ลินเดน เผยว่าบทบาทที่สำคัญยิ่งกว่านั้นคือการ 'ทำนายอนาคตอันใกล้' สมองน้อยช่วยให้เราคาดการณ์สิ่งที่จะเกิดขึ้นในอีกไม่กี่วินาทีข้างหน้า ซึ่งจำเป็นต่อทั้งการเคลื่อนไหว การเล่นกีฬา ไปจนถึงการตัดสินใจทางสังคม
ประเด็นที่น่าสนใจไม่แพ้กันคือ การเชื่อมโยงกายจิต (Mind-Body Connection) ซึ่งปัจจุบันได้รับการยอมรับในวงการวิทยาศาสตร์มากขึ้น ดร. ลินเดน อธิบายว่าความคิดและสภาวะทางร่างกายส่งผลต่อกันและกันผ่านสองช่องทางหลัก: สัญญาณประสาท และสารเคมีต่างๆ เช่น ฮอร์โมนและไซโตไคน์ โดยเฉพาะอย่างยิ่ง ไซโตไคน์ (Cytokines) ซึ่งเป็นฮอร์โมนของระบบภูมิคุ้มกัน มีบทบาทสำคัญในการเชื่อมโยงการอักเสบในร่างกายเข้ากับภาวะซึมเศร้า
เขายังเสนอสมมติฐานว่า การบรรเทาภาวะซึมเศร้าไม่ว่าด้วยวิธีใด (เช่น ยาต้านเศร้า, ไซโลไซบิน, การออกกำลังกาย) ล้วนเกี่ยวข้องกับ ประสาทพลาสติก (Neuroplasticity) หรือการเปลี่ยนแปลงวงจรประสาทในสมอง และการอักเสบอาจเป็นอุปสรรคต่อกระบวนการนี้ เซลล์ไมโครเกลีย (microglia) ซึ่งเป็นเซลล์ภูมิคุ้มกันในสมอง อาจมีบทบาทสำคัญในการเชื่อมโยงระหว่างการอักเสบและประสาทพลาสติกนี้ด้วย นอกจากนี้ ดร. ลินเดน ยังชี้ให้เห็นถึงความเป็นไปได้ที่กระบวนการทางจิตใจ เช่น การทำสมาธิ อาจส่งผลต่อการลุกลามของมะเร็งผ่านการส่งสัญญาณจากเซลล์ประสาทไปยังเซลล์ภูมิคุ้มกันของร่างกาย
บทเรียนจากประสบการณ์ตรง: การเผชิญหน้ากับความตาย
ส่วนที่ทรงพลังที่สุดของบทสนทนาคือเรื่องราวส่วนตัวของ ดร. ลินเดน ที่ได้รับการวินิจฉัยว่าเป็น มะเร็งหัวใจชนิด Syovial Sarcoma ในปี 2020 และได้รับคำทำนายว่าจะมีชีวิตอยู่ได้เพียง 6-18 เดือน แม้จะผ่านมา 27 เดือนแล้ว เขายังคงมีชีวิตอยู่ แต่ความรู้นี้ได้เปลี่ยนแปลงมุมมองต่อชีวิตของเขาอย่างลึกซึ้ง
เขาเล่าถึงความรู้สึกที่ โกรธจัด ต่อโชคชะตา แต่ในขณะเดียวกันก็รู้สึก สำนึกคุณอย่างลึกซึ้ง ต่อชีวิตที่ยอดเยี่ยม ครอบครัว และอาชีพการงานที่ได้ทำตามความอยากรู้อยากเห็นของตนเอง ประสบการณ์นี้ทำให้เขารู้ว่ามนุษย์สามารถรู้สึกถึงอารมณ์ที่ขัดแย้งกันอย่างรุนแรงได้ในเวลาเดียวกัน
การรับรู้เวลาของเขาก็เปลี่ยนไปอย่างมาก หากก่อนหน้านี้มีคนบอกว่าจะเหลือเวลา 5 ปี เขาคงรู้สึกโกรธ แต่หลังจากได้รับการวินิจฉัย การมีชีวิตอยู่ได้อีก 5 ปี กลับกลายเป็น 'เวลาที่ยอดเยี่ยม' ที่สามารถทำสิ่งดีๆ ได้มากมาย ดร. ลินเดน สรุปว่านี่คือบริบทที่เปลี่ยนการรับรู้
สิ่งที่น่าสนใจที่สุดคือ การที่สมองมนุษย์ไม่สามารถจินตนาการถึงการไม่มีอยู่ของตนเองได้ สมองของเราถูกออกแบบมาเพื่อทำนายอนาคตอันใกล้เสมอ และการทำนายนั้นอยู่บนพื้นฐานของ 'การมีอยู่' ของตัวเราเอง ความล้มเหลวในการจินตนาการถึงความตายนี้ อาจเป็นเหตุผลว่าทำไมศาสนาและแนวคิดเรื่องชีวิตหลังความตายจึงเป็นสิ่งสากลในทุกวัฒนธรรม เพื่อเติมเต็มช่องว่างที่สมองไม่สามารถเข้าใจได้
คำแนะนำสุดท้าย
จากประสบการณ์ทั้งหมด ดร. ลินเดน ให้คำแนะนำที่เรียบง่ายแต่ทรงพลังว่า “ซาบซึ้งกับสิ่งที่คุณมีในขณะที่คุณยังมีมันอยู่” และสำหรับบางคนที่มีความอยากรู้อยากเห็นอย่างลึกซึ้ง การใช้ความอยากรู้นั้นสำรวจแม้กระทั่งเรื่องความตายและสถานการณ์ทางการแพทย์ของตนเอง ก็สามารถเป็นพลังและประโยชน์ได้เช่นกัน
เนื้อหาของ ดร. เดวิด ลินเดน และ ดร. แอนดรูว์ ฮิวเบอร์แมน มีความละเอียดสูงและเต็มไปด้วยข้อมูลเชิงลึกที่เปลี่ยนแปลงมุมมองของเราต่อชีวิตและสมอง ขอแนะนำให้ดูฉบับเต็มเพื่อความเข้าใจที่สมบูรณ์และรับแรงบันดาลใจจากเรื่องราวอันทรงพลังนี้
ดูคลิปเต็มด้านบนเพื่อเจาะลึกทุกประเด็น!