ไขความลับสมองชาย-หญิง: ฮอร์โมนและยีนกำหนดความแตกต่างอย่างไร? | Andrew Huberman Lab

วันนี้เรามาสรุปคลิปที่น่าสนใจจากช่อง Andrew Huberman ที่ได้เชิญ Dr. Nirao Shah ผู้เชี่ยวชาญด้านประสาทวิทยาและจิตเวชศาสตร์จาก Stanford University School of Medicine มาเจาะลึกเรื่องความแตกต่างทางเพศของสมองและร่างกาย ซึ่งเป็นหัวข้อที่ทั้งน่าสนใจและละเอียดอ่อน บทความนี้จะพาคุณไปทำความเข้าใจกลไกทางชีววิทยาเบื้องหลังความแตกต่างเหล่านี้ ตั้งแต่ระดับยีน ฮอร์โมน ไปจนถึงพฤติกรรมที่แสดงออก เพื่อให้ทุกคนมีมุมมองที่รอบด้านยิ่งขึ้น

ดูวิดีโอต้นฉบับบน YouTube

สารบัญวิดีโอ

ประเด็นสำคัญ

  • ความแตกต่างทางชีววิทยาของสมองชายและหญิงถูกกำหนดตั้งแต่ต้นโดยยีน SRY และฮอร์โมนเพศ (เทสโทสเตอโรน เอสโตรเจน) ซึ่งส่งผลต่อโครงสร้างและวงจรประสาทอย่างถาวรในระยะพัฒนาการแรกเริ่ม
  • ฮอร์โมนมีทั้ง 'ผลกระทบเชิงจัดระเบียบ' (Organizing Effects) ในช่วงพัฒนาการที่ทำให้เกิดการเปลี่ยนแปลงที่ไม่สามารถย้อนกลับได้ และ 'ผลกระทบเชิงกระตุ้น' (Activating Effects) ในวัยผู้ใหญ่ ที่กระตุ้นพฤติกรรมพื้นฐาน เช่น พฤติกรรมทางเพศและความก้าวร้าว
  • วงจรประสาทในสมองบางส่วนมีความจำเพาะต่อเพศอย่างชัดเจน เช่น เซลล์ TAC R1 ที่ควบคุมช่วงพักหลังการผสมพันธุ์ในเพศผู้ แต่บางส่วนก็อาจมีอยู่ในทั้งสองเพศและรอการกระตุ้นจากฮอร์โมนหรือการยับยั้งจากปัจจัยอื่นๆ
  • สมองเพศหญิงมีการเปลี่ยนแปลงของวงจรประสาทอย่างมากตามรอบประจำเดือน (เช่น การเพิ่มขึ้น-ลดลงของ dendritic spines ถึงสามเท่า) และการเปลี่ยนแปลงทางฮอร์โมนในช่วงวัยต่างๆ เช่น วัยหมดประจำเดือน ก็ส่งผลต่อการทำงานของสมองและกระบวนการรับรู้ความจริงอย่างมีนัยสำคัญ
  • การรับรู้เพศของบุคคลอื่นนั้น สมองเพศผู้และเพศเมียอาจใช้กลไกวงจรประสาทที่แตกต่างกัน ทำให้ประสบการณ์การรับรู้ความเป็นจริงอาจไม่เหมือนกันโดยพื้นฐาน

การกำหนดเพศชีววิทยา: SRY และฮอร์โมนคือผู้บงการ

Dr. Nirao Shah อธิบายว่าความแตกต่างทางเพศของสมองและร่างกายเริ่มต้นจากระดับยีน โดยเฉพาะยีน SRY (Sex-determining Region on Y chromosome) ที่อยู่บนโครโมโซม Y ซึ่งเป็นปัจจัยสำคัญในการกำหนดเพศชาย หากมียีน SRY จะกระตุ้นให้เกิดการพัฒนาอัณฑะ ซึ่งจะผลิตฮอร์โมนเทสโทสเตอโรน (Testosterone) และฮอร์โมนต้านมัลเลอเรียน (Anti-Müllerian Hormone) ฮอร์โมนเหล่านี้จะ 'จัดระเบียบ' (Organizing Effect) สมองและอวัยวะเพศให้เป็นแบบเพศชายอย่างถาวรตั้งแต่ช่วงพัฒนาการในครรภ์

ในทางกลับกัน หากไม่มี SRY ตัวอ่อนจะพัฒนาไปเป็นเพศหญิงโดยปริยาย โดยไม่มีการค้นพบยีนเดียวที่กำหนดความเป็นเพศหญิงโดยเฉพาะในสัตว์เลี้ยงลูกด้วยนม ตัวอย่างที่น่าสนใจคือผู้ที่มีภาวะ Androgen Insensitivity Syndrome (AIS) ซึ่งมีโครโมโซม XY และผลิตเทสโทสเตอโรน แต่ร่างกายไม่ตอบสนองต่อฮอร์โมนนี้ ทำให้มีลักษณะภายนอกเป็นเพศหญิงและมักจะระบุอัตลักษณ์ว่าเป็นเพศหญิง

ความแตกต่างของสมองและพฤติกรรม

Dr. Shah ชี้ให้เห็นว่าสมองของชายและหญิงมีความแตกต่างกันทั้งในด้านโครงสร้าง การเชื่อมต่อ และจำนวนเซลล์ประสาท ฮอร์โมนเพศส่งผลต่อการอยู่รอดหรือการตายของเซลล์ประสาทในบางบริเวณของสมอง ทำให้สมองเพศชายและเพศหญิงมีวงจรประสาทที่ไม่เหมือนกันอย่างถาวร

งานวิจัยในหนูตะเภาและหนูทดลองแสดงให้เห็นว่า การได้รับเทสโทสเตอโรนในช่วงพัฒนาการแรกเริ่มสามารถทำให้หนูเพศเมียแสดงพฤติกรรมแบบเพศผู้ เช่น พฤติกรรมการขึ้นทับ หรือความก้าวร้าวในการหวงอาณาเขตได้ และแม้ในสมองเพศเมียเองก็มีวงจรประสาทบางส่วนที่สามารถกระตุ้นให้แสดงพฤติกรรมทางเพศแบบเพศผู้ได้ หากได้รับการกระตุ้นด้วยเทสโทสเตอโรนหรือกำจัดการยับยั้งจากฟีโรโมน

การค้นพบวงจรประสาท TAC R1: กุญแจสู่ความต้องการทางเพศ

หนึ่งในการค้นพบที่โดดเด่นจากห้องปฏิบัติการของ Dr. Shah คือการระบุเซลล์ประสาท TAC R1 ในบริเวณไฮโปทาลามัสส่วน Preoptic Area ของสมองหนูเพศผู้ เมื่อกระตุ้นเซลล์เหล่านี้ด้วยเทคนิค Optogenetics หนูเพศผู้จะสูญเสียช่วงพักหลังการผสมพันธุ์ (Refractory Period) จาก 4-5 วัน เหลือเพียง 1 วินาที และสามารถผสมพันธุ์ซ้ำได้ทันทีที่ได้รับการกระตุ้น

เซลล์ TAC R1 เหล่านี้ยังเชื่อมโยงกับการหลั่งโดปามีนในนิวเคลียส แอคคัมเบนส์ (Nucleus Accumbens) ซึ่งเป็นศูนย์กลางการให้รางวัลของสมอง ทำให้หนูที่ยังไม่เคยมีประสบการณ์ทางเพศก็สามารถเรียนรู้ที่จะกระตุ้นเซลล์เหล่านี้เพื่อรับ 'รางวัล' ได้ นี่แสดงให้เห็นว่าวงจรประสาทเหล่านี้มีบทบาทสำคัญในการควบคุมความต้องการทางเพศและกลไกการให้รางวัลที่ฝังลึกอยู่ในสมอง

สมองเพศหญิง: การเปลี่ยนแปลงแบบพลวัต

ตรงกันข้ามกับสมองเพศชายที่ดูจะคงที่กว่า สมองเพศหญิงมีการเปลี่ยนแปลงของวงจรประสาทอย่างมากตลอดรอบประจำเดือน โดยมีการเพิ่มขึ้นและลดลงของ Dendritic Spines (ส่วนที่รับข้อมูลจากเซลล์ประสาทอื่น) และการเปลี่ยนแปลงของเส้นทางส่งสัญญาณประสาทถึงสามเท่าภายใน 5 วัน การเปลี่ยนแปลงเหล่านี้มีความสำคัญต่อพฤติกรรมทางเพศและการทำงานของสมอง

นอกจากนี้ ฮอร์โมนเอสโตรเจนยังมีบทบาทสำคัญในการรักษาการทำงานของสมองและเป็นสารป้องกันระบบประสาทในทั้งสองเพศ โดยเฉพาะอย่างยิ่งในช่วงวัยหมดประจำเดือนที่ระดับเอสโตรเจนลดลงอย่างรวดเร็ว ซึ่งส่งผลต่อการรับรู้ ความจำ และเพิ่มความเสี่ยงต่อโรคอัลไซเมอร์

เพศชีววิทยาและเพศสภาพ: ความซับซ้อนที่ยังต้องศึกษา

การสนทนายังแตะประเด็นที่ละเอียดอ่อนระหว่างเพศชีววิทยา (Sex) ที่กำหนดโดยยีนและฮอร์โมน กับเพศสภาพ (Gender) ซึ่งเป็นโครงสร้างทางสังคมและวัฒนธรรม Andrew Huberman และ Dr. Shah ยอมรับว่าการทำความเข้าใจความสัมพันธ์ที่ซับซ้อนนี้ยังต้องการงานวิจัยอีกมาก โดยเฉพาะในมนุษย์ เนื่องจากยังไม่มีแบบจำลองสัตว์ที่สามารถอธิบาย 'เพศสภาพ' ได้อย่างสมบูรณ์

เนื้อหาจาก Dr. Nirao Shah และ Andrew Huberman มีความลึกซึ้งและละเอียดอ่อนอย่างยิ่ง การทำความเข้าใจชีววิทยาของความแตกต่างทางเพศเป็นรากฐานสำคัญในการมองเรื่องเพศสภาพและพฤติกรรมมนุษย์อย่างรอบด้านและปราศจากอคติ

หากต้องการเจาะลึกในแต่ละประเด็น สามารถกดดูคลิปเต็มด้านบนพร้อมลิงก์เวลาได้เลย