ไมเคิล อีสเตอร์: กุญแจสู่ความแข็งแกร่งทางกายและใจในยุคแห่งความสบาย

วันนี้เรามาสรุปคลิปจากช่อง Andrew Huberman ที่ได้เชิญ Michael Easter ผู้เขียนหนังสือขายดี “The Comfort Crisis” มาพูดคุยถึงประเด็นที่น่าสนใจว่า ความสะดวกสบายในชีวิตสมัยใหม่นั้นส่งผลกระทบต่อสุขภาพกายและใจของเราอย่างไร และเราจะสามารถเติบโต พัฒนาสมาธิ แรงจูงใจ และสร้างความสัมพันธ์ที่ลึกซึ้งขึ้นได้อย่างไร ด้วยการเลือกที่จะเผชิญหน้ากับความไม่สบายใจอย่างตั้งใจ

ดูวิดีโอต้นฉบับบน YouTube

สารบัญวิดีโอ

ประเด็นสำคัญ

  • ความสะดวกสบายในชีวิตสมัยใหม่ เช่น อาหารที่หาได้ง่าย อุณหภูมิที่ควบคุมได้ และความบันเทิงไร้ขีดจำกัด ทำให้เราอ่อนแอลงทั้งทางร่างกายและจิตใจ
  • สมองของมนุษย์ถูกออกแบบมาเพื่อเผชิญความท้าทาย การหลีกเลี่ยงความไม่สบายใจทำให้เราลดเกณฑ์การรับรู้ปัญหา และรู้สึกไม่พอใจมากขึ้น (Prevalence Induced Concept Change)
  • ใช้ "กฎ 2%" ด้วยการเลือกทำสิ่งที่ยากขึ้นเล็กน้อยในชีวิตประจำวัน เช่น เดินขึ้นบันไดแทนบันไดเลื่อน หรือเดินไปพร้อมกับการคุยโทรศัพท์ เพื่อสะสมประโยชน์ในระยะยาว
  • ลองทำกิจกรรม Misogi (มิโซกิ) ปีละครั้ง คือการท้าทายตัวเองด้วยสิ่งที่ยากมากจนไม่แน่ใจว่าจะทำสำเร็จ เพื่อค้นพบศักยภาพที่ซ่อนอยู่และปรับมุมมองต่อชีวิต
  • มองโดปามีนเป็นการ "ลงทุน" ผ่านความพยายามและการไตร่ตรอง แทนที่จะ "ใช้จ่าย" ไปกับกิจกรรมที่ง่ายดายและกระตุ้นเกินจริง ซึ่งจะทำให้เกิดความสุขและความหมายที่ลึกซึ้งกว่า

ในโลกที่เต็มไปด้วยความสะดวกสบาย เรากำลังเผชิญกับ 'วิกฤตความสบาย' โดยไม่รู้ตัว Michael Easter ผู้เขียนหนังสือ The Comfort Crisis และศาสตราจารย์จาก University of Nevada, Las Vegas ได้ร่วมพูดคุยกับ Andrew Huberman ถึงแนวคิดที่เปลี่ยนแปลงชีวิตผู้คนมากมาย เกี่ยวกับการเผชิญหน้ากับความไม่สบายใจเพื่อการเติบโตและความสุขที่แท้จริง

วิวัฒนาการมนุษย์ vs. ความสบาย: ความไม่ลงรอยกัน (Evolutionary Mismatch)

Michael Easter อธิบายว่าระบบประสาทและสมองของมนุษย์วิวัฒนาการมาในบริบทที่เราต้องเผชิญกับความยากลำบากตลอดเวลา ชีวิตเต็มไปด้วยความไม่สบายกาย เช่น อากาศร้อนจัด หนาวจัด การเคลื่อนไหวร่างกายตลอดวัน (เฉลี่ย 20,000 ก้าวต่อวันพร้อมแบกของหนัก) และช่วงเวลาที่ไม่ได้ถูกกระตุ้น ซึ่งนำไปสู่การพูดคุยแบบตัวต่อตัวกับผู้อื่น

ในอดีต การหลีกเลี่ยงความไม่สบายใจเป็นกลยุทธ์เพื่อความอยู่รอด แต่ในยุคปัจจุบันที่เราไม่ต้องออกล่าอาหาร ไม่ต้องแบกของหนัก และสามารถควบคุมอุณหภูมิได้อย่างง่ายดาย สัญชาตญาณเหล่านี้กลับกลายเป็นดาบสองคม เรามีอาหารเหลือเฟือ ไม่ต้องเคลื่อนไหวมากนัก และสามารถหลีกหนีความเบื่อหน่ายได้ง่ายๆ ด้วยโทรศัพท์มือถือ สิ่งเหล่านี้ทำให้เราขาดการกระตุ้นที่จำเป็นต่อการพัฒนาจิตใจและร่างกาย

ทฤษฎี 'Prevalence Induced Concept Change': เมื่อปัญหาน้อยลง แต่เรากลับไม่พอใจมากขึ้น

แนวคิดที่น่าสนใจคือ 'Prevalence Induced Concept Change' ซึ่งอธิบายว่า เมื่อเราประสบปัญหาที่แท้จริงน้อยลง เราไม่ได้รู้สึกพึงพอใจมากขึ้น แต่เรากลับลดเกณฑ์การรับรู้ว่าอะไรคือ 'ปัญหา' ลงแทน ทำให้เรามองเห็นปัญหาในสิ่งเล็กน้อยที่ไม่เคยเป็นปัญหามาก่อน เช่น การหงุดหงิดกับการรอคิวในสนามบิน

Michael ยกตัวอย่างประสบการณ์ 30 วันในอาร์กติก ที่ทุกอย่างยากลำบาก ตั้งแต่การหาน้ำ การเข้าห้องน้ำท่ามกลางหมีกริซลีย์ ไปจนถึงการหาฟืนเพื่อความอบอุ่น เมื่อเขากลับมาและได้ขึ้นเครื่องบินที่เคยเกลียดชัง เขากลับรู้สึกว่ามันคือความหรูหราอย่างแท้จริง เพราะมาตรฐานความสบายของเขาได้ถูก 'รีเซ็ต' ไปแล้ว สิ่งนี้ชี้ให้เห็นว่าการออกไปเผชิญความท้าทายช่วยให้เรากลับมาเห็นคุณค่าของชีวิตประจำวันมากขึ้น

กฎ 2% (The 2% Rule): เปลี่ยนชีวิตด้วยความไม่สบายใจเล็กน้อยในทุกวัน

เพื่อรับมือกับวิกฤตความสบาย Michael เสนอ 'กฎ 2%' ซึ่งหมายถึงการเลือกทำสิ่งที่ยากขึ้นเล็กน้อยในชีวิตประจำวัน แม้ว่าคนส่วนใหญ่ (98%) จะเลือกทางที่ง่ายกว่าเสมอ (เช่น การเลือกบันไดเลื่อนแทนบันได)

  • เดินขณะคุยโทรศัพท์: แทนที่จะนั่งคุย ลองใส่หูฟังแล้วเดินไปพร้อมๆ กัน เพื่อเพิ่มจำนวนก้าว ซึ่งสัมพันธ์กับสุขภาพที่ดีขึ้น
  • แบกของหนัก: ลองแบกถุงของชำด้วยตัวเองแทนการใช้รถเข็น เพื่อเสริมสร้างความแข็งแรงของหลังและกล้ามเนื้อ
  • จอดรถให้ไกลขึ้น: เลือกจอดรถในจุดที่ไกลที่สุดจากจุดหมาย เพื่อเพิ่มการเคลื่อนไหวในแต่ละวัน (Non-Exercise Activity Thermogenesis - NEAT)
  • อยู่กับความเงียบ: ลดการเปิดเพลงหรือทีวีตลอดเวลา แม้จะรู้สึกไม่สบายใจในช่วงแรก แต่ความเงียบจะช่วยให้จิตใจสงบและรีเซ็ตตัวเองได้

พลังของการเบื่อหน่าย (Boredom) เพื่อความคิดสร้างสรรค์

ความเบื่อหน่ายคือความไม่สบายใจเชิงวิวัฒนาการที่บอกให้เรา 'ไปทำอย่างอื่น' ในอดีตสิ่งนี้กระตุ้นให้เราออกไปสำรวจและหาอาหาร แต่ในปัจจุบันเรามักจะหนีความเบื่อหน่ายด้วยโทรศัพท์มือถือและเนื้อหาที่กระตุ้นมากเกินไป

การนั่งอยู่กับความเบื่อหน่ายและปล่อยให้จิตใจล่องลอยไป (Daydreaming) เป็นสิ่งที่มีคุณค่าอย่างยิ่งต่อความคิดสร้างสรรค์และไอเดียใหม่ๆ ดังที่นักคิดหลายคนในประวัติศาสตร์เคยกล่าวไว้ การถอดตัวเองออกจากสิ่งกระตุ้นภายนอกชั่วคราวช่วยให้สมองได้ประมวลผลข้อมูลและสร้างความเชื่อมโยงที่ไม่คาดคิด

Misogi: การท้าทายตัวเองครั้งใหญ่เพื่อค้นพบศักยภาพ

Misogi (มิโซกิ) คือแนวคิดที่ Marcus Elliot นักวิทยาศาสตร์การกีฬาคิดค้นขึ้น โดยเป็นการท้าทายตัวเองด้วยกิจกรรมที่ยากมากปีละครั้ง ซึ่งคุณมีโอกาสสำเร็จเพียง 50/50 และมีกฎสำคัญคือ 'ห้ามตาย'

การทำ Misogi ผลักดันให้เราก้าวข้ามขีดจำกัดที่คิดว่าตัวเองมี และเมื่อมองย้อนกลับไป เราจะตระหนักว่าเราสามารถทำได้มากกว่าที่คิด คำถามที่ตามมาคือ 'ยังมีอะไรในชีวิตที่เราประเมินตัวเองต่ำไปบ้าง?' ประสบการณ์นี้จะเปลี่ยนมุมมองและสร้างความเปลี่ยนแปลงครั้งใหญ่ในชีวิต

การลงทุนโดปามีน: สร้างความสุขที่ยั่งยืน ไม่ใช่แค่การใช้จ่าย

Andrew Huberman เปรียบโดปามีน (Dopamine) ซึ่งเป็นสารแห่งแรงจูงใจและการเคลื่อนไหว เสมือน 'สกุลเงิน' ที่เราสามารถ 'ใช้จ่าย' หรือ 'ลงทุน' ได้ การใช้จ่ายโดปามีนเกิดขึ้นเมื่อเราทำกิจกรรมที่ง่ายดาย ไร้แรงเสียดทาน เช่น การเลื่อนดูโซเชียลมีเดีย ซึ่งทำให้ระดับโดปามีนพื้นฐานลดลง และทำให้ชีวิตรู้สึกไร้ความหมาย

ในทางกลับกัน การลงทุนโดปามีนคือการทำกิจกรรมที่ต้องใช้ความพยายามและการไตร่ตรอง เช่น การออกกำลังกาย การอ่านหนังสือยากๆ หรือการเดินยาวๆ กับคู่ชีวิต สิ่งเหล่านี้อาจยากในตอนแรก แต่จะให้ผลตอบแทนเป็นความสุข ความหมาย และการเติมเต็มในระยะยาว

Rucking (การเดินแบกน้ำหนัก): กิจกรรมที่มนุษย์ถูกออกแบบมาให้ทำ

Rucking คือการเดินโดยแบกน้ำหนักไว้ในกระเป๋าเป้ ซึ่ง Michael Easter ชี้ว่านี่คือกิจกรรมที่มนุษย์วิวัฒนาการมาเพื่อทำ การเดินแบกน้ำหนักให้ประโยชน์ทั้งด้านคาร์ดิโอ (การเดิน) และการสร้างความแข็งแรง (การแบก) เผาผลาญแคลอรี่มากกว่าการเดินหรือวิ่งปกติ และช่วยเสริมสร้างกล้ามเนื้อเล็กๆ ที่ช่วยในการทรงตัว

มนุษย์เป็นสัตว์เลี้ยงลูกด้วยนมชนิดเดียวที่สามารถแบกน้ำหนักและเดินได้ไกล ซึ่งเป็นปัจจัยสำคัญที่ทำให้เรากระจายตัวไปทั่วโลกและพกพาเครื่องมือต่างๆ Rucking จึงเป็นวิธีที่ยอดเยี่ยมในการกลับไปเชื่อมโยงกับการเคลื่อนไหวตามธรรมชาติของมนุษย์ และเป็นกิจกรรมที่เข้าถึงได้ง่ายสำหรับทุกคน (เริ่มต้นด้วยน้ำหนักเบา 5-20 ปอนด์สำหรับผู้หญิง และ 10-30 ปอนด์สำหรับผู้ชาย)

อันตรายของการ 'Frictionless Foraging' หรือความสะดวกสบายที่มากเกินไป

Michael และ Andrew ยังได้หารือถึงอันตรายของ 'Frictionless Foraging' หรือการแสวงหาสิ่งกระตุ้นที่ง่ายดายและไร้แรงเสียดทาน เช่น การพนันออนไลน์ การพนันสล็อตแมชชีนในคาสิโนถูกออกแบบมาให้มีการ 'แพ้ที่ถูกปลอมแปลงเป็นการชนะ' (loss disguised as a win) และความเร็วในการเล่นที่เพิ่มขึ้น ทำให้ผู้คนเสพติดได้ง่าย

รูปแบบเดียวกันนี้ถูกนำมาใช้ในโซเชียลมีเดีย แอปหาคู่ และการช้อปปิ้งออนไลน์ ซึ่งทำให้เราติดอยู่ในวงจรของการใช้จ่ายโดปามีนอย่างต่อเนื่อง การตระหนักถึงกลไกเหล่านี้และพยายาม 'ลดความเร็ว' ลงด้วยการสร้างแรงเสียดทานในกิจกรรมเหล่านี้ จึงเป็นสิ่งสำคัญในการรักษาสุขภาพจิตและกาย

บทสรุป: การสร้างชีวิตที่เต็มไปด้วยการผจญภัยและความหมาย

Michael Easter และ Andrew Huberman เน้นย้ำว่า แม้โลกจะก้าวหน้าและสะดวกสบายขึ้นอย่างไม่เคยเป็นมาก่อน แต่ผู้คนกลับรู้สึกไม่พึงพอใจและวิตกกังวลมากขึ้น การเลือกที่จะเผชิญหน้ากับความไม่สบายใจเล็กน้อยในชีวิตประจำวัน การท้าทายตัวเองด้วย Misogi และการลงทุนโดปามีนในกิจกรรมที่ต้องใช้ความพยายามและการไตร่ตรอง จะนำไปสู่ชีวิตที่เต็มไปด้วยการผจญภัย ความหมาย และความสุขที่ยั่งยืน

เนื้อหาของ Dr. Andrew Huberman และ Michael Easter มีความละเอียดและลึกซึ้งมาก การได้ฟังเรื่องราวและแนวคิดเหล่านี้จะช่วยให้คุณมองเห็นวิธีจัดการกับความท้าทายในชีวิตได้อย่างมีพลังมากขึ้น แนะนำให้ดูฉบับเต็มเพื่อความเข้าใจที่สมบูรณ์

ดูคลิปเต็มด้านบน และลองนำแนวคิด 'ความไม่สบายใจเพื่อการเติบโต' ไปปรับใช้ในชีวิตประจำวันของคุณวันนี้!