สรุปสาระสำคัญ: ไซเคเดลิกกับการบำบัดโรคทางจิตเวชและสุขภาพสมอง | Dr. Matthew Johnson

วันนี้เรามาสรุปคลิป 'Essentials: Psychedelics for Treating Mental Disorders | Dr. Matthew Johnson' จากช่อง Andrew Huberman ที่พาเราไปสำรวจโลกของสารไซเคเดลิกกับการบำบัดโรคทางจิตเวชและสุขภาพสมอง ซึ่งมีประโยชน์มากๆ สำหรับคนที่สนใจนวัตกรรมทางการแพทย์และจิตวิทยา

ดูวิดีโอต้นฉบับบน YouTube

สารบัญวิดีโอ

ประเด็นสำคัญ

  • สารไซเคเดลิกมีนิยามกว้างๆ คือสารที่เปลี่ยนแปลงการรับรู้ความเป็นจริงและตัวตนอย่างลึกซึ้ง โดยมีกลไกการทำงานที่หลากหลายในสมอง ซึ่ง Psilocybin, LSD ออกฤทธิ์ต่อระบบ Serotonin 2A Receptor ขณะที่ MDMA มีเอกลักษณ์เฉพาะตัว.
  • การบำบัดด้วยไซเคเดลิกเกี่ยวข้องกับการเตรียมตัวอย่างละเอียด การมีผู้ดูแลที่ปลอดภัย และการ 'ปล่อยวางการควบคุม' เพื่อให้เกิดการเปลี่ยนแปลงการรับรู้ตัวตนและแบบจำลองความคิดที่ยึดติด ซึ่งนำไปสู่การเปลี่ยนแปลงพฤติกรรมและความคิดที่ยั่งยืน.
  • แม้ Microdosing ยังขาดหลักฐานทางคลินิกที่ชัดเจน แต่การใช้ไซเคเดลิกในปริมาณสูง (Heroic Doses) แสดงผลลัพธ์เชิงบวกที่น่าทึ่งในการรักษาภาวะซึมเศร้า การติดบุหรี่ และ PTSD รวมถึงอาจมีศักยภาพในการฟื้นฟูสมองจากอาการบาดเจ็บทางระบบประสาท อย่างไรก็ตาม การใช้ควรอยู่ภายใต้การดูแลของผู้เชี่ยวชาญ และมีข้อควรระวังสำหรับผู้ป่วยโรคจิตเภทหรือไบโพลาร์.

บทนำ: การกลับมาของไซเคเดลิกในการบำบัด

ในตอน Essentials ของ Huberman Lab นี้ Andrew Huberman ได้พูดคุยกับ Dr. Matthew Johnson จาก Johns Hopkins University ผู้บุกเบิกการวิจัยสารไซเคเดลิกเพื่อการบำบัดโรคทางจิตเวช การสนทนาเปิดเผยถึงความเข้าใจใหม่ๆ เกี่ยวกับสารเหล่านี้ ตั้งแต่คำจำกัดความ กลไกการออกฤทธิ์ ไปจนถึงกระบวนการบำบัดและศักยภาพอันน่าทึ่งในการเยียวยาจิตใจและสมอง

ไซเคเดลิกคืออะไร? และมีสารอะไรบ้าง?

Dr. Johnson อธิบายว่าคำว่า 'ไซเคเดลิก' เป็นคำที่กว้างและค่อนข้างเป็นวัฒนธรรมมากกว่าเชิงเภสัชวิทยา แต่คุณสมบัติร่วมกันของสารกลุ่มนี้คือความสามารถในการ 'เปลี่ยนแปลงการรับรู้ความเป็นจริงและตัวตนอย่างลึกซึ้ง'

  • ไซเคเดลิกคลาสสิก (Classic Psychedelics): ได้แก่ LSD, Psilocybin (พบในเห็ดขี้ควายกว่า 200 สายพันธุ์), DMT (พบในพืชหลายชนิด) และ Mescaline (ในกระบองเพชร Peyote) สารเหล่านี้ส่วนใหญ่จะออกฤทธิ์เป็น agonist หรือ partial agonist ที่ตัวรับ Serotonin 2A receptor ในสมอง
  • สารอื่นๆ ที่อาจจัดเป็นไซเคเดลิก: กลุ่ม NMDA antagonist เช่น Ketamine, PCP และ Dextromethorphan ซึ่งมีผลต่อการรับรู้ที่คล้ายคลึงกัน
  • MDMA: สารนี้มีความพิเศษและจัดอยู่ในกลุ่มแยกต่างหาก เรียกว่า 'entactogen' (สัมผัสภายใน) หรือ 'empathogen' (สร้างความเข้าอกเข้าใจ) ซึ่งบ่งบอกถึงความสามารถในการเชื่อมโยงกับอารมณ์และความรู้สึกร่วมกับผู้อื่น

กลไกการทำงาน: ทำไมถึงเปลี่ยนการรับรู้?

Huberman เปรียบสมองของเราเป็น 'เครื่องจักรแห่งการทำนาย' (prediction machines) ที่สร้าง 'แบบจำลอง' (models) ของความเป็นจริง ไซเคเดลิกดูเหมือนจะมีกลไกในการ 'ละลายแบบจำลองเหล่านั้น' ทำให้การรับรู้เปลี่ยนแปลงไปอย่างสิ้นเชิง เช่น การมองเห็นมือตัวเองเป็นสิ่งมหัศจรรย์ หรือแม้แต่ในกรณีที่หายากมาก อาจทำให้เข้าใจผิดว่าสามารถบินได้

Dr. Johnson เสริมว่าแม้กลไกที่แน่ชัดยังอยู่ในระหว่างการศึกษา แต่แก่นสำคัญคือการเปลี่ยนแปลงอย่างยั่งยืนใน 'การรับรู้ตัวตน' (self-representation) ซึ่งเป็นแบบจำลองที่ใหญ่ที่สุดของเรา เช่น การที่คนติดบุหรี่มองว่าตัวเองเป็น 'คนติดบุหรี่' หรือคนซึมเศร้ามองว่าตัวเองเป็น 'คนล้มเหลว' สารไซเคเดลิกช่วยให้บุคคลก้าวออกจากกรอบความคิดเหล่านี้ได้

กระบวนการบำบัดด้วยไซเคเดลิกในงานวิจัย

การบำบัดด้วยไซเคเดลิกในงานวิจัยของ Dr. Johnson ที่ Johns Hopkins มีขั้นตอนที่รัดกุมและปลอดภัย

  • การคัดกรอง: ผู้เข้าร่วมจะต้องผ่านการสัมภาษณ์ทางจิตเวชอย่างละเอียด (ตาม DSM) และตรวจสุขภาพหัวใจ เพื่อคัดกรองผู้ที่มีโรคทางจิตเวชรุนแรง เช่น โรคจิตเภท หรือไบโพลาร์ (ในระยะคลุ้มคลั่ง) ซึ่งเป็นข้อห้ามสำคัญ
  • การเตรียมตัว: ผู้เข้าร่วมจะใช้เวลาหลายชั่วโมงเพื่อทำความรู้จักและสร้างความสัมพันธ์ที่ดีกับ 'ผู้ดูแล' (guides) ที่จะอยู่ด้วยตลอดการบำบัด รวมถึงทำความเข้าใจถึงประสบการณ์ที่อาจเกิดขึ้น ซึ่งอาจมีความหลากหลายตั้งแต่สวยงามที่สุดไปจนถึงน่าสะพรึงกลัวที่สุด
  • วันบำบัด: ผู้เข้าร่วมจะได้รับ Psilocybin บริสุทธิ์ในรูปแบบแคปซูล (ประมาณ 20-30 มิลลิกรัม) ในสภาพแวดล้อมที่ผ่อนคลาย โดยเน้นที่การตอบสนองเชิงบำบัด ไม่ใช่การทำภารกิจทางปัญญา
  • 'การปล่อยวางการควบคุม': นี่คือหัวใจสำคัญ ผู้ดูแลจะแนะนำให้ผู้เข้าร่วม 'ปล่อยวาง' และยอมให้ประสบการณ์เกิดขึ้น ไม่ว่าจะรู้สึกอย่างไร การร้องไห้หรือความกลัวล้วนเป็นส่วนหนึ่งของกระบวนการ และผู้ดูแลจะคอยให้ความรู้สึกปลอดภัย

ผลลัพธ์การบำบัด: การเปลี่ยนแปลงที่ยั่งยืน

ผลลัพธ์ที่น่าทึ่งของการบำบัดด้วยไซเคเดลิกคือการเปลี่ยนแปลงในระดับตัวตน

  • การเลิกบุหรี่: ผู้เข้าร่วมหลายคนสามารถก้าวออกจาก 'แบบจำลอง' ของการเป็นคนติดบุหรี่ได้ โดยรู้สึกว่าพวกเขาสามารถ 'ตัดสินใจ' ที่จะไม่สูบได้ง่ายๆ
  • ภาวะซึมเศร้าในผู้ป่วยมะเร็ง: ผู้ป่วยบางคนตระหนักว่า 'ฉันเป็นคนสร้างความทุกข์ส่วนใหญ่ให้ตัวเอง' และสามารถเลือกที่จะใช้ชีวิตอย่างมีความสุขกับครอบครัวได้
  • PTSD: MDMA ได้รับการพิสูจน์แล้วว่ามีประสิทธิภาพในการรักษา PTSD และ Psilocybin ก็กำลังถูกศึกษาในด้านนี้เช่นกัน โดยช่วยให้ผู้ป่วยสามารถประมวลผลความทรงจำที่กระทบกระเทือนจิตใจได้ใหม่

ประสบการณ์เหล่านี้มักสร้าง 'ความรู้สึกถึงอำนาจในการตัดสินใจ' (gravity of agency) ที่เข้มข้นขึ้น ทำให้บุคคลสามารถสร้างการเปลี่ยนแปลงในชีวิตได้อย่างยั่งยืน

MDMA: สารแห่งความเข้าอกเข้าใจ

MDMA ซึ่งเพิ่มทั้งโดปามีนและเซโรโทนินพร้อมกัน มีความแตกต่างจาก Psilocybin

  • เหมาะสำหรับ Trauma: MDMA อาจเหมาะกับการบำบัด Trauma มากกว่า เนื่องจากโอกาสที่จะเกิดประสบการณ์ที่ท้าทายอย่างรุนแรง (bad trip) นั้นต่ำกว่ามาก
  • Bad Trip กับประสบการณ์เหนือธรรมชาติ: สำหรับไซเคเดลิกคลาสสิกอย่าง Psilocybin นั้น 'bad trip' (ความรู้สึกกลัว, วิตกกังวล, สติแตก) อาจเป็นประตูสู่ประสบการณ์เหนือธรรมชาติ หรือ 'ความรู้สึกเป็นหนึ่งเดียวกับทุกสิ่ง' (unity with all things) ซึ่งงานวิจัยชี้ว่าสัมพันธ์กับผลลัพธ์เชิงบวกในระยะยาว หากผู้ใช้สามารถ 'ยอมจำนน' ต่อประสบการณ์นั้นได้ แทนที่จะพยายามต่อต้าน

ข้อควรระวังและอันตราย

แม้จะมีศักยภาพมหาศาล แต่ไซเคเดลิกก็มีข้อควรระวังที่สำคัญ

  • ความไม่มั่นคงทางอารมณ์: ประสบการณ์อาจทำให้เกิดความไม่มั่นคงทางอารมณ์อย่างรุนแรงได้
  • ข้อห้าม: ผู้ป่วยที่มีโรคทางจิตเวชรุนแรง เช่น โรคจิตเภท หรือไบโพลาร์ (ระยะคลุ้มคลั่ง) ไม่ควรใช้
  • Bad Trip: อันตรายที่พบได้บ่อยกว่าคือ 'bad trip' ซึ่งสามารถเกิดขึ้นได้กับทุกคน แม้แต่ผู้ที่มีสุขภาพจิตดีที่สุด โดยเฉพาะอย่างยิ่งหากใช้ในปริมาณสูง (ประมาณ 1 ใน 3 ของผู้เข้าร่วมวิจัย Psilocybin ปริมาณสูงมีประสบการณ์ bad trip ชั่วขณะ)

Microdosing: ประโยชน์ยังไม่ชัดเจน

Dr. Johnson แสดงความกังขาต่อ 'microdosing' (การใช้ไซเคเดลิกในปริมาณน้อยมาก) โดยระบุว่า

  • ขาดหลักฐานทางคลินิก: งานวิจัยที่ได้รับการตรวจสอบโดยผู้เชี่ยวชาญส่วนใหญ่ยังไม่พบประโยชน์ที่ชัดเจนตามที่กล่าวอ้าง เช่น การเพิ่มความคิดสร้างสรรค์ การปรับปรุงการรับรู้ หรืออารมณ์ที่ดีขึ้นอย่างยั่งยืน
  • ผลข้างเคียง: บางงานวิจัยพบว่าอาจทำให้การรับรู้เวลาผิดเพี้ยน หรือรู้สึกมึนงงเล็กน้อย
  • ศักยภาพในอนาคต: แม้จะยังไม่ได้รับการพิสูจน์ แต่ Dr. Johnson เชื่อว่าอาจมีศักยภาพในการเป็นยาแก้ซึมเศร้าที่ดีกว่า SSRI หากมีการวิจัยเพิ่มเติมตามรูปแบบการใช้ที่เฉพาะเจาะจงที่ผู้ชื่นชอบแนะนำ

ศักยภาพในการรักษาอาการบาดเจ็บทางระบบประสาท

นอกเหนือจากสุขภาพจิตแล้ว Dr. Johnson ยังมองเห็นศักยภาพของไซเคเดลิกในการรักษาอาการบาดเจ็บทางระบบประสาท

  • เรื่องเล่าและงานวิจัยในสัตว์: มีเรื่องเล่าว่าไซเคเดลิกช่วยฟื้นฟูสมองจากการบาดเจ็บ (เช่น ในนักกีฬา) ซึ่งสอดคล้องกับงานวิจัยในสัตว์ฟันแทะที่แสดงให้เห็นถึงการเกิด neuroplasticity (การปรับตัวของสมอง)
  • การศึกษาในอนาคต: Dr. Johnson หวังที่จะศึกษาในนักกีฬาที่เกษียณแล้วซึ่งได้รับผลกระทบจากการกระทบกระเทือนศีรษะซ้ำๆ เพื่อดูว่าไซเคเดลิกสามารถช่วยรักษาภาวะซึมเศร้าและปรับปรุงการทำงานของการรับรู้ รวมถึงการเปลี่ยนแปลงของเนื้อเยื่อสมอง (gray matter) ได้หรือไม่ ซึ่งเป็นพื้นที่ที่ยังอยู่ในช่วงเริ่มต้นของการสำรวจ

เนื้อหาของ Dr. Matthew Johnson และ Andrew Huberman มีความละเอียดและลึกซึ้งมาก แนะนำให้รับชมฉบับเต็มเพื่อความเข้าใจที่สมบูรณ์ยิ่งขึ้น และโปรดจำไว้ว่าการใช้สารไซเคเดลิกเพื่อการบำบัดควรอยู่ภายใต้การดูแลของผู้เชี่ยวชาญและในสภาพแวดล้อมที่ปลอดภัยเท่านั้น.

ดูคลิปเต็มด้านบน หรือสำรวจบทความเชิงลึกอื่นๆ เกี่ยวกับสุขภาพจิตและประสาทวิทยาได้ที่นี่