เปิดมุมมองใหม่! วิทยาศาสตร์เผยประโยชน์เหลือเชื่อของการศรัทธาในพระเจ้าและศาสนาต่อสุขภาพกายใจ

วันนี้เรามาสรุปคลิปจากช่อง Andrew Huberman ที่พูดถึงเรื่อง 'Science & Health Benefits of Belief in God & Religion' ซึ่งมีประโยชน์มากๆ สำหรับคนที่สนใจว่าวิทยาศาสตร์และศาสนาสามารถอยู่ร่วมกันได้อย่างไร และการศรัทธามีผลต่อสุขภาพของเราในแง่มุมใดบ้าง โดยมี Dr. David DeSteno ผู้เชี่ยวชาญด้านจิตวิทยามาให้ข้อมูลเชิงลึก

ดูวิดีโอต้นฉบับบน YouTube

สารบัญวิดีโอ

ประเด็นสำคัญ

  • วิทยาศาสตร์และศาสนาไม่ได้ขัดแย้งกันอย่างที่คิด แต่มีจุดร่วมที่เป็นประโยชน์ต่อมนุษย์
  • การมีส่วนร่วมในศาสนาและการสวดมนต์ช่วยลดอัตราการเสียชีวิต ลดความวิตกกังวล และเพิ่มความสุขในชีวิต
  • พิธีกรรมทางศาสนา เช่น การสวดมนต์และการรวมตัวกันในชุมชน ช่วยส่งเสริมความเห็นอกเห็นใจและลดความเครียด
  • การศรัทธาในพระเจ้าช่วยลดความรู้สึกโดดเดี่ยวและเป็นเหมือน 'เพื่อนที่อยู่เคียงข้างเสมอ'
  • การพิจารณาความตายอย่างไม่ยึดติด สามารถเปลี่ยนค่านิยมของเราให้มุ่งเน้นไปที่ความสัมพันธ์และการช่วยเหลือผู้อื่น ซึ่งนำมาซึ่งความสุขที่แท้จริง

วิทยาศาสตร์พบศาสนา: ความเข้ากันได้ที่หลายคนมองข้าม

Andrew Huberman ต้อนรับ Dr. David DeSteno ศาสตราจารย์ด้านจิตวิทยาจาก Northeastern University ผู้เชี่ยวชาญด้านวิทยาศาสตร์แห่งศีลธรรม ศาสนา และประโยชน์ต่อสุขภาพจากการศรัทธาในพระเจ้าและศาสนา Dr. DeSteno ชี้ให้เห็นว่ามุมมองที่ว่าวิทยาศาสตร์และศาสนาเป็นสิ่งที่แยกจากกันนั้นไม่ถูกต้องเสมอไป และนำเสนอข้อมูลเชิงประจักษ์ที่แสดงให้เห็นถึงประโยชน์มหาศาลทั้งทางจิตใจและร่างกายจากการปฏิบัติทางศาสนาและการสวดมนต์

ประเด็นหลักที่ Dr. DeSteno เน้นย้ำคือ การตั้งคำถามว่า 'พระเจ้ามีอยู่จริงหรือไม่' นั้นไม่ใช่คำถามที่มีประโยชน์ทางวิทยาศาสตร์ เพราะเราไม่สามารถทำการทดลองเพื่อพิสูจน์หรือหักล้างการมีอยู่ของพระเจ้าได้ อย่างไรก็ตาม สิ่งที่วิทยาศาสตร์สามารถทำได้คือการศึกษาว่า 'การศรัทธาและปฏิบัติทางศาสนามีผลต่อชีวิตมนุษย์อย่างไร'

ประโยชน์ด้านสุขภาพที่น่าประหลาดใจจากการมีส่วนร่วมในศาสนา

ข้อมูลทางระบาดวิทยาแสดงให้เห็นว่าผู้ที่ปฏิบัติทางศาสนาอย่างสม่ำเสมอ (ไม่ใช่แค่เชื่อในพระเจ้าแต่ลงมือปฏิบัติจริง) ตลอดช่วง 15-20 ปี มีอัตราการเสียชีวิตจากทุกสาเหตุลดลงถึง 30% และลดอัตราการเสียชีวิตจากโรคมะเร็งและโรคหัวใจและหลอดเลือดลง 25% นอกจากนี้ยังช่วยลดความวิตกกังวลและภาวะซึมเศร้า เพิ่มความรู้สึกมีคุณค่าและความพึงพอใจในชีวิต

Dr. DeSteno อธิบายว่าประโยชน์เหล่านี้ไม่ใช่แค่ผลจาก 'ชุมชน' ทั่วไปเท่านั้น แม้การเข้าร่วมชมรมหรือมีเครือข่ายทางสังคมที่แน่นแฟ้นจะทำให้สุขภาพดีขึ้น แต่ชุมชนทางศาสนามี 'ผลกระทบที่ใหญ่กว่า' (larger effect size) ซึ่งบ่งชี้ว่า 'การปฏิบัติ' ภายในชุมชนเหล่านั้นมีความสำคัญอย่างยิ่ง แม้แต่การปฏิบัติส่วนตัว เช่น การสวดมนต์และการทำสมาธิ ก็ยังช่วยลดความวิตกกังวลและภาวะซึมเศร้าในกลุ่มคนหนุ่มสาวได้

พลังของการทำสมาธิและการสวดมนต์

Dr. DeSteno ยกตัวอย่างการทดลองที่น่าสนใจเกี่ยวกับการทำสมาธิ:

  • เพิ่มความเห็นอกเห็นใจ: ผู้ที่ไม่เคยทำสมาธิมาก่อนถูกแบ่งเป็นกลุ่มควบคุมและกลุ่มที่ฝึกสมาธิ 8 สัปดาห์ ในสถานการณ์จำลองที่มีคนบาดเจ็บต้องการความช่วยเหลือ กลุ่มที่ฝึกสมาธิแสดงความช่วยเหลือเพิ่มขึ้นถึง 3 เท่า (จาก 15% เป็นเกือบ 50%)
  • ลดความก้าวร้าว: ในการทดลองที่ออกแบบมาเพื่อกระตุ้นความโกรธ ผู้ที่ฝึกสมาธิปฏิเสธที่จะลงโทษคนที่ยั่วยุ แม้จะยังคงคิดว่าการกระทำนั้นไม่ถูกต้อง แต่พวกเขาไม่เห็นด้วยกับการสร้างความเจ็บปวดเพิ่มเติม

สำหรับการสวดมนต์ โดยเฉพาะการสวดมนต์แบบเป็นทางการ (ไม่ใช่แค่การสนทนากับพระเจ้า) จะช่วยลดอัตราการหายใจ เพิ่มระยะเวลาการหายใจออก ซึ่งส่งผลให้:

  • เพิ่มโทนของเส้นประสาทเวกัส (Vagal Tone): ลดอัตราการเต้นของหัวใจ ทำให้ร่างกายอยู่ในสภาวะที่ผ่อนคลาย ไม่คาดหวังภัยคุกคาม
  • ลดการตอบสนองของคอร์ติซอล: ลดความเครียดในร่างกาย แม้จะสวดมนต์เกี่ยวกับเรื่องที่กังวล แต่การทำซ้ำๆ จะช่วยให้จิตใจรู้สึกปลอดภัยและลดความเครียดทางสรีรวิทยาได้

พิธีกรรม: จากความเศร้าโศกสู่การเชื่อมโยง

พิธีกรรมทางศาสนาเปรียบเสมือน 'ชุดเครื่องมือพัฒนาชีวิต' (sophisticated packages of life hacks) ที่ช่วยจัดการกับประสบการณ์ชีวิตที่สำคัญ เช่น ความเศร้าโศก

  • การจัดการความเศร้าโศก: ในพิธีศพหลายศาสนามีการสรรเสริญผู้ตาย ซึ่งช่วยให้ผู้สูญเสียสามารถรวบรวมความทรงจำเชิงบวกของผู้ตายได้ดีขึ้น ซึ่งเป็นปัจจัยสำคัญในการก้าวผ่านความเศร้าโศก
  • พิธี Shiva ของชาวยิว: การคลุมกระจกในช่วงไว้ทุกข์ช่วยลดความเศร้าโศกที่รุนแรงขึ้นเมื่อมองตนเองในกระจก การลดการจดจ่อกับตนเอง (self-focus) และการรวมตัวกันสวดมนต์ (motor synchrony) ช่วยเพิ่มความเห็นอกเห็นใจและความผูกพันในชุมชน
  • พิธีกรรมของชาวจีน: การเผากระดาษเงินกระดาษทอง (ghost money) เป็นวิธีหนึ่งในการรักษาความสัมพันธ์กับบรรพบุรุษ ทำให้รู้สึกว่าความสัมพันธ์ยังคงอยู่ ไม่ได้สูญเสียไปทั้งหมด ซึ่งช่วยลดความโดดเดี่ยวและความเครียด

ความโดดเดี่ยวและการศรัทธาในพระเจ้า

ในยุคที่ผู้คนรู้สึกโดดเดี่ยวมากขึ้น การศรัทธาในพระเจ้าสามารถเป็นคำตอบได้ Dr. DeSteno ชี้ว่าผู้ที่ปฏิบัติทางศาสนารายงานว่ามีความโดดเดี่ยวน้อยลงอย่างเห็นได้ชัด การมีความสัมพันธ์กับพระเจ้าทำให้รู้สึกเหมือนมี 'เพื่อนที่คอยอยู่เคียงข้างเสมอ' (3 AM friend) ซึ่งเป็นปัจจัยสำคัญต่อสุขภาพและความสุข

ความดี ความชั่ว และสมองมนุษย์

Dr. DeSteno ยังได้กล่าวถึงพฤติกรรมทางศีลธรรมของมนุษย์ การทดลองแสดงให้เห็นว่าผู้คนมีแนวโน้มที่จะโกงหรือทำสิ่งผิดศีลธรรมเมื่อไม่มีใครเห็น แต่เมื่ออยู่ในสภาพแวดล้อมที่กระตุ้นเตือนถึงพระเจ้า (เช่น ในวัด) อัตราการโกงจะลดลงอย่างมาก นอกจากนี้ การฝึกความกตัญญู (เช่น การนับสิ่งดีๆ ในชีวิต) ยังช่วยเพิ่มพฤติกรรมเชิงบวก (pro-social behavior) ทำให้คนซื่อสัตย์ อดทน และเอื้อเฟื้อเผื่อแผ่มากขึ้น ศาสนาจึงช่วย 'จัดการชีวิตทางอารมณ์' ของเราให้มุ่งไปสู่ความดีงาม

การเผชิญหน้ากับความตาย

ความกลัวความตายเป็นสิ่งที่ผูกพันมนุษย์ทุกคนไว้ ศาสนาจำนวนมากมุ่งเน้นไปที่แนวคิดเรื่องชีวิตหลังความตาย ซึ่งช่วยลดความวิตกกังวลเกี่ยวกับความตายได้ ผู้ที่เชื่อมั่นในชีวิตหลังความตายจะมีความวิตกกังวลน้อยที่สุด ในขณะที่ผู้ที่ไม่แน่ใจจะมีความวิตกกังวลมากที่สุด

ศาสนาหลายแห่งสอนให้พิจารณาความตายอย่างไม่ยึดติด (contemplate your death) เช่น การทำสมาธิแบบศพในพุทธศาสนา หรือพิธี Ash Wednesday ในศาสนาคริสต์ การทำเช่นนี้ช่วยให้ผู้คนตระหนักว่าชีวิตนั้นไม่จีรัง และเปลี่ยนค่านิยมให้มุ่งเน้นไปที่สิ่งสำคัญที่แท้จริงในชีวิต เช่น เวลาที่อยู่กับคนที่รัก การช่วยเหลือผู้อื่น ซึ่งนำมาซึ่งความสุขที่ยั่งยืนในทุกช่วงวัย

ศาสนาใหม่: เกิดขึ้นแล้วหายไป

ในแต่ละปีมีศาสนาใหม่เกิดขึ้นถึง 100-200 ศาสนา แต่ส่วนใหญ่ไม่สามารถคงอยู่ได้นาน ศาสนาที่จะอยู่รอดได้มักจะต้องตอบสนองความต้องการของผู้คนในรูปแบบใหม่ หรือได้รับการสนับสนุนจากผู้มีอำนาจ Dr. DeSteno ยกตัวอย่าง Burning Man ซึ่งเป็นพื้นที่ที่ผู้คนจำนวนมากรายงานว่าได้รับประสบการณ์ทางจิตวิญญาณที่ลึกซึ้ง แสดงให้เห็นว่าผู้คนยังคงแสวงหาประสบการณ์ทางจิตวิญญาณที่แตกต่างไปจากพิธีกรรมแบบเดิมๆ

บทสรุป: การเดินทางเพื่อค้นหาความหมาย

Dr. DeSteno ย้ำว่าศาสนาเป็น 'เทคโนโลยีทางจิตวิญญาณ' (spiritual technologies) ที่มีพลังในการขับเคลื่อนจิตใจมนุษย์ไปในทางที่ดีหรือร้ายก็ได้ ขึ้นอยู่กับเจตนาของผู้ใช้ แม้จะมีปัญหาในสถาบันศาสนา แต่โดยเฉลี่ยแล้ว การปฏิบัติทางศาสนาช่วยให้ผู้คนมีชีวิตที่ดีขึ้น

Dr. DeSteno เองก็เป็นผู้ที่กำลัง 'ใช้ชีวิตอยู่ในคำถาม' (living in the question) เขาเป็นนักวิทยาศาสตร์ที่เชื่อในข้อมูล แต่ก็ยอมรับว่าตนเองเป็นผู้ไม่เชื่อในพระเจ้า (agnostic) เขาแนะนำให้ผู้คนลองสำรวจและค้นหาสิ่งที่สอดคล้องกับตนเอง เพราะมีหลายเส้นทางสู่การศรัทธา และหลายวิธีที่จะใช้ภูมิปัญญาเหล่านี้เพื่อพัฒนาชีวิตให้ดีขึ้น

คำแนะนำสุดท้ายที่เขาได้รับจากแรบไบผู้ชาญฉลาดคือ 'เราจะกระทำ แล้วเราจะเข้าใจ' (na'aseh v'nishma) บางครั้งการลงมือปฏิบัติก่อนจะนำไปสู่ความเข้าใจในภายหลัง ซึ่งเป็นแนวทางที่มีคุณค่าสำหรับการสำรวจความสัมพันธ์ระหว่างวิทยาศาสตร์ ศาสนา และความเป็นอยู่ที่ดีของมนุษย์

เนื้อหาของ Dr. Andrew Huberman และ Dr. David DeSteno มีความละเอียดและน่าสนใจอย่างยิ่ง บทความนี้เป็นเพียงส่วนหนึ่งที่สรุปมาให้ หากต้องการเข้าใจอย่างถ่องแท้และได้ประโยชน์สูงสุด แนะนำให้รับชมคลิปฉบับเต็ม

ดูคลิปเต็มด้านบนเพื่อเจาะลึกทุกประเด็น