วิทยาศาสตร์การสร้างสายสัมพันธ์: ถอดรหัสสมองและฮอร์โมน เพื่อความผูกพันที่ยั่งยืน (จาก Andrew Huberman)

วันนี้เรามาสรุปคลิป 'Essentials: Science of Building Strong Social Bonds' จากช่อง Andrew Huberman Lab ที่พูดถึงวิทยาศาสตร์เบื้องหลังการสร้างสายสัมพันธ์ที่ดี ไม่ว่าจะเป็นกับครอบครัว เพื่อน หรือคู่รัก ซึ่งเป็นสิ่งที่สำคัญต่อคุณภาพชีวิตของเราตั้งแต่เกิดจนตาย คุณ Andrew Huberman ศาสตราจารย์ด้านประสาทชีววิทยาและจักษุวิทยาจาก Stanford School of Medicine จะพาเราไปสำรวจกลไกของสมอง สารสื่อประสาท และฮอร์โมนที่เกี่ยวข้อง พร้อมเครื่องมือที่คุณสามารถนำไปใช้ได้จริง

ดูวิดีโอต้นฉบับบน YouTube

สารบัญวิดีโอ

ประเด็นสำคัญ

  • สายสัมพันธ์ทางสังคมคือหัวใจสำคัญของชีวิต และสมองของเราถูกสร้างมาเพื่อการเชื่อมโยงนี้
  • ความเหงาและการแยกตัวทางสังคมเป็นความเครียดที่กระตุ้นให้ร่างกายหลั่งฮอร์โมนความเครียดและขับเคลื่อนเราให้แสวงหาความผูกพัน
  • ความแตกต่างระหว่าง Introvert และ Extrovert ไม่ได้อยู่ที่ความชอบเข้าสังคม แต่อยู่ที่ปริมาณโดปามีนที่หลั่งออกมาจากการปฏิสัมพันธ์ทางสังคม
  • การสร้างสายสัมพันธ์ที่ลึกซึ้งต้องอาศัยทั้งการซิงโครไนซ์ทางสรีรวิทยา (เช่น อัตราการเต้นของหัวใจ) และความเข้าใจทางความคิด (Cognitive Empathy)
  • ออกซิโทซิน (Oxytocin) หรือ "ฮอร์โมนแห่งความรัก" ทำหน้าที่เป็นกาวเชื่อมความผูกพันในทุกรูปแบบความสัมพันธ์ ตั้งแต่แม่กับลูกไปจนถึงคู่รัก

คุณเคยสงสัยไหมว่าทำไมเราถึงต้องการความผูกพันกับผู้อื่นมากขนาดนี้? Andrew Huberman อธิบายว่า ตั้งแต่วันที่เราเกิดจนถึงวันสุดท้ายของชีวิต คุณภาพของสายสัมพันธ์ทางสังคมเป็นตัวกำหนดคุณภาพชีวิตของเราอย่างมาก และไม่น่าแปลกใจเลยที่สมองและระบบประสาททั้งหมดของเราถูกออกแบบมาเพื่อการสร้างสายสัมพันธ์

ความเหงา: สัญญาณเตือนจากสมอง

ก่อนจะพูดถึงการสร้างสายสัมพันธ์ เรามาดู "ภาพสะท้อน" ของมัน นั่นคือ "การแยกตัวทางสังคม" หรือ "ความเหงา" แม้หลายคนจะชอบอยู่คนเดียว แต่การแยกตัวทางสังคมที่หมายถึงในที่นี้คือการที่สัตว์หรือมนุษย์ถูกจำกัดไม่ให้มีปฏิสัมพันธ์ทางสังคมตามที่ต้องการ การอยู่โดดเดี่ยวเป็นความเครียด และหนึ่งในลักษณะเด่นคือระดับฮอร์โมนความเครียดที่สูงขึ้นเรื้อรัง เช่น อะดรีนาลีน และคอร์ติซอล

หากคอร์ติซอลสูงนานเกินไป ระบบภูมิคุ้มกันจะได้รับผลกระทบ และสมองจะเริ่มปล่อยสารเคมีที่กระตุ้นให้เรา "แสวงหาสายสัมพันธ์" คล้ายกับความหิว กระหายน้ำ หรืออุณหภูมิร่างกาย เรามีวงจรสมองที่เรียกว่า "Social Homeostasis" ซึ่งพยายามรักษาสมดุลทางสังคม หากเราขาดปฏิสัมพันธ์ เราจะรู้สึกกระหายอยากมีส่วนร่วมทางสังคม

วงจร Social Homeostasis: กลไกซับซ้อนในสมอง

วงจร Social Homeostasis นี้มีองค์ประกอบหลัก 4 ส่วน:

  1. Detector (ตัวตรวจจับ): ส่วนนี้จะตรวจจับว่าเรากำลังมีปฏิสัมพันธ์กับผู้อื่นหรือไม่ และปฏิสัมพันธ์นั้นเป็นไปในทางที่ดีหรือไม่ โดยเกี่ยวข้องกับสมองส่วน Anterior Cingulate Cortex (ACC) และ Basolateral Amygdala (BLA) ซึ่งช่วยให้เราทั้งเข้าหาและหลีกเลี่ยงความสัมพันธ์ที่ไม่ดี
  2. Control Center (ศูนย์ควบคุม): อยู่ในไฮโปทาลามัส ทำหน้าที่ปรับเปลี่ยนพฤติกรรมและจิตวิทยาของเรา
  3. Effector (ตัวกระตุ้นการตอบสนอง): นี่คือส่วนที่สำคัญมาก นั่นคือ Dorsal Raphe Nucleus (DRN) ซึ่งมีกลุ่มเซลล์ประสาทที่ปล่อยโดปามีน โดปามีนในที่นี้ไม่ได้ทำให้เรารู้สึกดีโดยตรง แต่เป็นสารสื่อประสาทที่กระตุ้น "แรงจูงใจ" หรือ "ความปรารถนา" ที่จะเคลื่อนเข้าหาสิ่งที่ทำให้เรารู้สึกดี ดังนั้น เมื่อเรารู้สึกเหงา DRN จะปล่อยโดปามีนออกมาเพื่อกระตุ้นให้เราออกไปแสวงหาการเชื่อมโยงทางสังคม
  4. Prefrontal Cortex (PFC): เป็นส่วนที่ 4 และเป็นส่วนที่ทำให้เรามีความยืดหยุ่นในการสร้างสายสัมพันธ์ PFC เกี่ยวข้องกับการคิด การวางแผน และการกระทำ ทำให้เราสามารถตัดสินใจได้ว่าเราอยากเข้าร่วมงานปาร์ตี้หรือไม่ แม้จะชอบปาร์ตี้ก็ตาม

Introvert vs. Extrovert: ความเข้าใจใหม่จากโดปามีน

Andrew Huberman เสนอว่า Introvert และ Extrovert อาจมีความแตกต่างกันในเชิงเคมีประสาท:

  • Introvert: ได้รับโดปามีนในปริมาณมากจากการปฏิสัมพันธ์ทางสังคมเพียงเล็กน้อยหรือน้อยที่สุด ทำให้พวกเขารู้สึกพึงพอใจและมีแรงจูงใจเพียงพอจากการมีส่วนร่วมทางสังคมที่ไม่มากนัก
  • Extrovert: ตรงกันข้าม พวกเขาจะได้รับโดปามีนน้อยกว่าจากการปฏิสัมพันธ์ทางสังคมในปริมาณที่เท่ากัน ทำให้พวกเขาต้องการปฏิสัมพันธ์ทางสังคมที่มากกว่ามาก เพื่อที่จะรู้สึก "เติมเต็ม"

ดังนั้น Introvert ไม่ได้ไม่ชอบสังคม แต่พวกเขาแค่ต้องการสังคมในปริมาณที่น้อยกว่าเพื่อรู้สึกพึงพอใจ

การสร้างสายสัมพันธ์ที่แข็งแกร่ง: การซิงโครไนซ์ทางสรีรวิทยาและอารมณ์

การศึกษาที่ตีพิมพ์ใน Cell Report พบว่า การประมวลผลเรื่องราวร่วมกันสามารถซิงโครไนซ์อัตราการเต้นของหัวใจระหว่างบุคคลได้ นั่นหมายความว่าเมื่อร่างกายของเรา "รู้สึกเหมือนกัน" เราก็มีแนวโน้มที่จะรู้สึกผูกพันกับผู้อื่นมากขึ้น

สิ่งนี้ไม่ได้เกิดจากการมีปฏิสัมพันธ์โดยตรงเสมอไป แต่เกิดจาก "ประสบการณ์ร่วมกัน" ซึ่งนำไปสู่ "สรีรวิทยาที่ซิงโครไนซ์กัน" ไม่ว่าจะเป็นการฟังเรื่องราวเดียวกัน การดูหนัง เล่นกีฬา หรือกิจกรรมอื่นๆ ที่ทำให้ร่างกายและจิตใจของเราตอบสนองในทิศทางเดียวกัน

รากฐานของการผูกพันในผู้ใหญ่ โดยเฉพาะในความสัมพันธ์แบบคู่รักหรือเพื่อนสนิท ถูกสร้างขึ้นตั้งแต่ในวัยเด็ก งานของ Allan Shore นักจิตวิเคราะห์และผู้เชี่ยวชาญด้านประสาทชีววิทยาของการผูกพัน ชี้ให้เห็นว่า การผูกพันระหว่างทารกกับแม่เกี่ยวข้องกับการประสานงานของวงจรสมองซีกขวาและซีกซ้าย รวมถึงระบบประสาทอัตโนมัติ (Autonomic Nervous System) เช่น การเต้นของหัวใจ การหายใจ และขนาดรูม่านตา

เมื่อเราโตขึ้น ระบบสมองซีกซ้ายจะเข้ามามีบทบาทมากขึ้นในการผูกพันที่เกี่ยวข้องกับการคาดการณ์และรางวัล ซึ่งวงจรเหล่านี้จะถูกนำมาใช้ซ้ำในความสัมพันธ์ทุกรูปแบบตลอดชีวิตของเรา

Empathy: กุญแจสู่ความผูกพันที่ลึกซึ้ง

การสร้างสายสัมพันธ์ที่ไว้วางใจได้ต้องอาศัย Empathy สองประเภท:

  • Emotional Empathy (ความเห็นอกเห็นใจทางอารมณ์): คือการ "รู้สึก" ในสิ่งที่อีกฝ่ายรู้สึกในระดับร่างกายและระบบประสาทอัตโนมัติ การซิงโครไนซ์ทางสรีรวิทยาผ่านประสบการณ์ร่วมกันเป็นวิธีที่ดีที่สุดในการส่งเสริมสิ่งนี้
  • Cognitive Empathy (ความเห็นอกเห็นใจทางความคิด): คือความเข้าใจว่าอีกฝ่าย "คิด" อย่างไร ไม่ใช่การเห็นด้วยทุกอย่าง แต่เป็นการพยายามทำความเข้าใจมุมมอง ความคิด และความรู้สึกของอีกฝ่าย

ทั้งสองสิ่งนี้เป็นวงจรตอบสนองซึ่งกันและกัน ที่ทำให้เรารู้สึกว่าเราเข้าใจอีกฝ่าย และอีกฝ่ายก็เข้าใจเรา

ออกซิโทซิน (Oxytocin): กาวแห่งความผูกพัน

ในระยะยาว ฮอร์โมนก็มีบทบาทสำคัญ "ออกซิโทซิน" คือฮอร์โมนที่เกี่ยวข้องกับการผูกพันทางสังคม การจดจำทางสังคม การสร้างคู่ (Pair Bonding) และแม้กระทั่งความซื่อสัตย์

ออกซิโทซินจะถูกปล่อยออกมาในระดับสูงเมื่อมีการปฏิสัมพันธ์ระหว่างบุคคลที่มีความใกล้ชิดกันมาก เช่น แม่กับลูก หรือคู่รัก การสัมผัสทางกาย การมองเห็น หรือแม้แต่กลิ่นของคนที่เรารักก็สามารถกระตุ้นการหลั่งออกซิโทซินได้ ฮอร์โมนนี้เปรียบเสมือน "กาวทางฮอร์โมน" ที่เชื่อมโยงบุคคลเข้าด้วยกัน

สรุปและเครื่องมือสู่ความสัมพันธ์ที่ดีขึ้น

การทำความเข้าใจกลไกทางชีววิทยา เคมีประสาท และฮอร์โมนของการผูกพันทางสังคมนี้ ทำให้เรามี "จุดเริ่มต้น" ในการสร้างและเสริมสร้างความสัมพันธ์ในชีวิต

  • พัฒนา Emotional Empathy: ใช้เวลาทำกิจกรรมที่มี "ประสบการณ์ร่วมกัน" เช่น ดูหนัง ฟังเพลง เล่นกีฬา หรือเล่าเรื่องราว เพื่อให้เกิดการซิงโครไนซ์ทางสรีรวิทยา
  • พัฒนา Cognitive Empathy: ตั้งใจรับฟังและพยายามทำความเข้าใจความคิด มุมมอง และความรู้สึกของอีกฝ่ายอย่างแท้จริง โดยไม่จำเป็นต้องเห็นด้วยทุกอย่าง
  • เข้าใจ Introvert/Extrovert: ตระหนักว่าแต่ละคนมีความต้องการปฏิสัมพันธ์ทางสังคมไม่เท่ากัน และเคารพความแตกต่างนั้น

การทำความเข้าใจว่าสายสัมพันธ์ทางสังคมสร้างขึ้นและถูกรักษาไว้ด้วยกลไกทางชีววิทยาที่ซับซ้อนนี้ ยังช่วยให้เราเข้าใจว่าทำไมการเลิกราหรือการสูญเสียความสัมพันธ์จึงเจ็บปวดอย่างแสนสาหัส เพราะมันคือการทำลายทั้ง Emotional Empathy และ Cognitive Empathy รวมถึงการสูญเสียแหล่งโดปามีนและออกซิโทซินหลักๆ ไปจากระบบประสาทของเรา

ดังที่นักจิตวิทยาและนักประสาทชีววิทยา Lisa Feldman Barrett กล่าวไว้ว่า "เราไม่ใช่แค่ปัจเจกบุคคล เราคือระบบประสาทที่ส่งผลต่อระบบประสาทอื่นๆ และระบบประสาทของพวกเขาก็ส่งผลต่อเรา" การมองความสัมพันธ์ในมุมนี้จะช่วยให้เราเห็นคุณค่าและเข้าใจความซับซ้อนของมันได้ลึกซึ้งยิ่งขึ้น

เนื้อหาของ Dr. Andrew Huberman มีความละเอียดและลึกซึ้งมาก การทำความเข้าใจกลไกเหล่านี้จะช่วยให้เราสร้างและรักษาความสัมพันธ์ที่ดีขึ้นได้ รวมถึงเข้าใจความเจ็บปวดจากการสูญเสียความสัมพันธ์ด้วย

หากคุณต้องการเจาะลึกในรายละเอียดและตัวอย่างเพิ่มเติม สามารถรับชมคลิปเต็มได้ที่ด้านบน