สรุปหลักการสร้างและเลิกนิสัยตามหลักประสาทวิทยาจาก Andrew Huberman

วันนี้เรามาสรุปคลิปที่น่าสนใจจากช่อง Andrew Huberman ที่พูดถึงเรื่อง 'The Science of Making & Breaking Habits' ซึ่งมีประโยชน์มากๆ สำหรับคนที่สนใจทำความเข้าใจกลไกทางชีววิทยาและจิตวิทยาเบื้องหลังพฤติกรรมที่เราทำเป็นประจำ และนำไปปรับใช้เพื่อสร้างนิสัยที่ดีและเลิกนิสัยที่ไม่พึงประสงค์

ดูวิดีโอต้นฉบับบน YouTube

สารบัญวิดีโอ

ประเด็นสำคัญ

  • นิสัยไม่ใช่แค่การทำซ้ำ แต่เกิดจากการเปลี่ยนแปลงของระบบประสาท (Neuroplasticity) ซึ่งเป็นกระบวนการเรียนรู้ที่ทำให้เซลล์ประสาทเชื่อมต่อกันได้ง่ายขึ้น
  • Limbic Friction คือแรงต้านทานทางจิตใจที่ต้องเอาชนะเพื่อเริ่มทำสิ่งใหม่ โดยมาจากความเหนื่อยล้าหรือไม่กระตือรือร้น หรือความวิตกกังวล
  • การจัดกิจกรรมตาม 3 ช่วงเวลาของวัน (Phase 1: 0-8 ชม.หลังตื่นนอน, Phase 2: 9-15 ชม.หลังตื่นนอน, Phase 3: 16-24 ชม.หลังตื่นนอน) ช่วยให้สมองอยู่ในสภาวะที่เหมาะสมกับการสร้างนิสัยประเภทต่างๆ
  • Reward Prediction Error (Dopamine) คือกลไกที่ขับเคลื่อนแรงจูงใจ คุณสามารถใช้มันเพื่อเร่งการสร้างนิสัย โดยการคาดการณ์ผลลัพธ์เชิงบวกและเชื่อมโยงกับช่วงเวลาก่อนและหลังการทำนิสัยนั้นๆ
  • การเลิกนิสัยที่ไม่ดีทำได้โดยการนำพฤติกรรมเชิงบวกมา 'ต่อท้าย' พฤติกรรมที่ไม่ต้องการทันที ซึ่งจะช่วยปรับวงจรประสาทและลดโอกาสในการเกิดนิสัยที่ไม่ดีในอนาคต

เคยสงสัยไหมว่าทำไมนิสัยบางอย่างถึงสร้างได้ยากเหลือเกิน หรือทำไมบางอย่างถึงเลิกยากเย็นแสนเข็ญ? Dr. Andrew Huberman ศาสตราจารย์ด้านประสาทชีววิทยาจาก Stanford School of Medicine ได้อธิบายถึงวิทยาศาสตร์และจิตวิทยาเบื้องหลังการสร้างและทำลายนิสัยไว้อย่างละเอียดในพอดแคสต์ Huberman Lab ของเขา บทความนี้จะสรุปแก่นสำคัญและเครื่องมือที่ทุกคนสามารถนำไปปรับใช้ได้จริง

นิสัยคืออะไร? มันแตกต่างจากปฏิกิริยาสะท้อนอย่างไร?

นิสัยไม่ใช่แค่ปฏิกิริยาสะท้อน (reflexes) เช่น การกะพริบตาเมื่อมีสิ่งแปลกปลอมเข้าใกล้ แต่คือน้ำมือของระบบประสาทที่เรียนรู้ผ่านกระบวนการที่เรียกว่า Neuroplasticity ซึ่งหมายถึงความสามารถของระบบประสาทในการเปลี่ยนแปลงการเชื่อมต่อระหว่างเซลล์ประสาท (neurons) เพื่อตอบสนองต่อประสบการณ์ การเรียนรู้ที่เกิดขึ้นอย่างต่อเนื่อง (ไม่ว่าจะรู้ตัวหรือไม่ก็ตาม) ทำให้พฤติกรรมกลายเป็นนิสัยที่เกิดขึ้นเองโดยไม่ต้องใช้ความพยายามมากนัก มีการประมาณการณ์ว่าพฤติกรรมที่เราทำในแต่ละวันมากถึง 70% เป็นพฤติกรรมที่เกิดจากนิสัย

Limbic Friction: แรงต้านทานทางจิตใจ

Dr. Huberman ได้บัญญัติคำว่า Limbic Friction เพื่ออธิบายถึงแรงต้านทานที่เราต้องเอาชนะเพื่อเริ่มทำพฤติกรรมบางอย่าง แรงต้านนี้อาจมาจาก 2 แหล่งหลักๆ คือ:

  • ความเหนื่อยล้า/ไม่มีแรงจูงใจ: รู้สึกขี้เกียจ ไม่อยากทำ
  • ความวิตกกังวล/ฟุ้งซ่าน: ไม่สามารถสงบจิตใจและโฟกัสกับสิ่งที่ต้องการทำได้

การเข้าใจ Limbic Friction ของตัวเองเป็นสิ่งสำคัญในการประเมินว่านิสัยใดจะสร้างได้ง่ายหรือยาก และช่วยให้เราสามารถหาวิธีเอาชนะมันได้

นิสัยหลัก (Linchpin Habits): กุญแจสู่การเปลี่ยนแปลง

Linchpin Habits คือนิสัยหลักบางอย่างที่เมื่อเราทำแล้ว จะช่วยให้การสร้างนิสัยอื่นๆ ง่ายขึ้นอย่างมาก นิสัยเหล่านี้มักจะเป็นสิ่งที่เราเพลิดเพลินกับการทำอยู่แล้ว เช่น การออกกำลังกาย การตื่นเช้า หรือการดื่มน้ำให้เพียงพอ เมื่อนิสัยหลักเหล่านี้แข็งแกร่ง มันจะช่วยปรับสภาพจิตใจและร่างกายให้พร้อมสำหรับพฤติกรรมเชิงบวกอื่นๆ เช่น การทำงานอย่างมีสมาธิ การนอนหลับที่ดีขึ้น หรือการเลือกรับประทานอาหารที่มีประโยชน์

ความแข็งแรงของนิสัย (Habit Strength) และการเป็นอัตโนมัติ (Automaticity)

ความแข็งแรงของนิสัยวัดได้จาก 2 ปัจจัยหลัก:

  1. Context-Dependence (การขึ้นอยู่กับบริบท): นิสัยนั้นๆ ยังคงเกิดขึ้นได้ไม่ว่าจะอยู่ในสภาพแวดล้อมหรือสถานการณ์ใดหรือไม่? (เช่น แปรงฟันทุกเช้าไม่ว่าจะอยู่บ้านหรือเดินทาง)
  2. Limbic Friction: ต้องใช้ความพยายามทางจิตใจมากน้อยแค่ไหนในการทำนิสัยนั้นๆ

เป้าหมายสูงสุดของการสร้างนิสัยคือการไปสู่ภาวะ Automaticity หรือการที่ระบบประสาทสามารถทำสิ่งนั้นได้โดยอัตโนมัติ โดยใช้ความพยายามทางจิตใจและร่างกาย (Limbic Friction) น้อยที่สุด

เครื่องมือที่ 1: การใช้ความจำเชิงขั้นตอน (Procedural Memory)

ก่อนจะเริ่มนิสัยใหม่ ให้ใช้เวลาเพียง 1-2 ครั้ง ลองนึกภาพขั้นตอนทั้งหมดที่ต้องทำอย่างละเอียดตั้งแต่ต้นจนจบ (Procedural Memory Visualization) เช่น หากต้องการดื่มกาแฟตอนเช้า ให้นึกภาพตั้งแต่เดินเข้าครัว เปิดเครื่องชงกาแฟ ชงกาแฟ การฝึกสมองให้เห็นภาพลำดับขั้นตอนนี้จะช่วยลด Limbic Friction และเพิ่มโอกาสที่เราจะทำนิสัยนั้นๆ ได้สำเร็จในระยะยาว

เครื่องมือที่ 2: Task-Bracketing (การกำหนดกรอบงาน)

Task-Bracketing คือการที่สมองสร้าง 'กรอบ' ให้กับพฤติกรรม โดยการจดจำเหตุการณ์ที่เกิดขึ้นก่อนและหลังการทำนิสัยนั้นๆ กลไกนี้เกี่ยวข้องกับวงจรประสาทในสมองส่วน Basal Ganglia โดยเฉพาะ Dorsolateral Striatum ซึ่งจะทำงานในช่วงเริ่มต้นและสิ้นสุดของนิสัย การทำความเข้าใจและใช้ Task-Bracketing จะช่วยให้ระบบประสาทคาดการณ์และเตรียมพร้อมสำหรับการทำนิสัยนั้นๆ ทำให้มันกลายเป็นพฤติกรรมอัตโนมัติได้ง่ายขึ้น

สิ่งสำคัญคือการจัดกิจกรรมตาม 'สภาวะ' ของร่างกายและสมอง ไม่ใช่แค่ 'เวลา' ที่ตายตัว เพราะระบบประสาทของเราตอบสนองต่อสารเคมีและระดับพลังงานในร่างกายมากกว่านาฬิกา

โปรแกรม 3 ช่วงเวลาของวันเพื่อสร้างนิสัย

Dr. Huberman ได้แบ่งวันออกเป็น 3 ช่วงหลักๆ เพื่อให้เราสามารถจัดกิจกรรมสร้างนิสัยได้อย่างมีประสิทธิภาพสูงสุดตามกลไกทางชีวเคมีของสมอง:

Phase 1: 0-8 ชั่วโมงหลังตื่นนอน (ช่วง 'Action & Focus')

ในช่วงนี้ระดับ Norepinephrine, Epinephrine (Adrenaline) และ Dopamine จะสูงตามธรรมชาติ ทำให้สมองอยู่ในสภาวะตื่นตัวและมีสมาธิสูง เหมาะสำหรับ:

  • นิสัยที่ต้องการ Limbic Friction สูง: สิ่งที่ยากที่สุด ต้องการพลังงานมากที่สุด เช่น การออกกำลังกายอย่างหนัก การเขียนหนังสือ การเรียนรู้สิ่งใหม่ที่ซับซ้อน
  • กิจกรรมที่ช่วยเสริมสภาวะนี้: การรับแสงแดดยามเช้า, การออกกำลังกาย, การสัมผัสความเย็น (อาบน้ำเย็น), การดื่มคาเฟอีน (หากเหมาะสม), การทำ IF (Intermittent Fasting) หรือการรับประทานอาหารที่อุดมด้วย Tyrosine

Phase 2: 9-15 ชั่วโมงหลังตื่นนอน (ช่วง 'Relaxed Focus')

ในช่วงบ่ายถึงเย็น ระดับ Dopamine และ Cortisol จะเริ่มลดลง และ Serotonin จะเริ่มสูงขึ้น ทำให้สมองเข้าสู่สภาวะที่ผ่อนคลายและสงบมากขึ้น เหมาะสำหรับ:

  • นิสัยที่ต้องการ Limbic Friction ต่ำ: สิ่งที่ท้าทายเล็กน้อยแต่ไม่ต้องการพลังงานสูงมาก เช่น การเขียนบันทึก, การฝึกภาษา, การเล่นดนตรี, การทำสมาธิ, โยคะนิทรา (NSDR - Non-Sleep Deep Rest)
  • กิจกรรมที่ช่วยเสริมสภาวะนี้: การลดแสงสว่างจากแหล่งกำเนิดเทียม, การมองแสงอาทิตย์ยามบ่าย, การทำ NSDR, การอาบน้ำอุ่น/ซาวน่า

Phase 3: 16-24 ชั่วโมงหลังตื่นนอน (ช่วง 'Deep Rest & Consolidation')

ช่วงเวลาแห่งการนอนหลับลึกและพักผ่อน เป็นช่วงที่สมองทำการ 'จัดเรียงวงจร' และรวมข้อมูลที่เรียนรู้มาตลอดวันเข้าสู่ระบบประสาท ทำให้การเรียนรู้และนิสัยใหม่ๆ ถูกฝังแน่นอย่างแท้จริง

  • สิ่งสำคัญ: การอยู่ในสภาพแวดล้อมที่มืดสนิทหรือแสงสลัวมาก, อุณหภูมิห้องที่เย็นสบาย, การจัดการเวลาการกินอาหารให้เหมาะสม (ไม่ควรกินมื้อหนักใกล้เวลานอน), หลีกเลี่ยงคาเฟอีน
  • หากตื่นกลางดึก: ใช้แสงน้อยที่สุดในการเดินทาง, หลีกเลี่ยงการกระตุ้นเมลาโทนิน, หากหลับยากอาจใช้เทคนิค NSDR

การจัดนิสัยตามช่วงเวลาเหล่านี้จะช่วยให้ระบบประสาท 'คาดการณ์' และเตรียมพร้อมสำหรับพฤติกรรมต่างๆ ทำให้การสร้างนิสัยเป็นไปอย่างราบรื่นและมีประสิทธิภาพ

Reward Prediction Error: พลังของโดปามีนและแรงจูงใจ

Dopamine ไม่ใช่เพียงโมเลกุลแห่งรางวัล แต่เป็นโมเลกุลแห่งแรงจูงใจและแรงขับเคลื่อน (Motivation and Drive) Reward Prediction Error คือกลไกที่อธิบายว่าสมองปล่อยโดปามีนอย่างไร:

  • คาดหวังรางวัลและได้รับ: โดปามีนจะถูกปล่อยออกมา ทำให้พฤติกรรมนั้นมีโอกาสเกิดซ้ำ
  • ได้รับรางวัลที่ไม่คาดคิด: โดปามีนจะถูกปล่อยออกมาในปริมาณที่สูงกว่ามาก
  • คาดหวังรางวัลแต่ไม่ได้รับ: ระดับโดปามีนจะลดต่ำลงกว่าค่าพื้นฐาน ทำให้รู้สึกผิดหวังและลดโอกาสการเกิดพฤติกรรมนั้นๆ

เราสามารถใช้หลักการนี้เพื่อสร้างนิสัยได้โดยการ 'คาดการณ์เชิงบวก' (Positive Anticipation) ถึงผลลัพธ์ที่จะเกิดขึ้นจากการทำนิสัยนั้นๆ รวมถึงความรู้สึกดีๆ ที่ตามมาหลังจากทำสำเร็จ ไม่ใช่แค่คิดถึงความยากลำบากในการเริ่มต้น การขยาย 'กรอบเวลา' ของการให้รางวัลให้ครอบคลุมช่วงเวลาก่อน ระหว่าง และหลังการทำนิสัย จะช่วยเพิ่มแรงจูงใจและทำให้สมองเชื่อมโยงโดปามีนเข้ากับกระบวนการทั้งหมด

โปรแกรมสร้างนิสัย 21 วัน (6 นิสัย/วัน, ทำ 4-5)

Dr. Huberman ได้นำเสนอระบบที่เรียบง่ายแต่ทรงพลังในการสร้างนิสัย:

  1. ตั้งเป้า 6 นิสัย: เลือก 6 นิสัยใหม่ที่คุณต้องการสร้างและทำเป็นประจำทุกวัน
  2. คาดหวังเพียง 4-5 นิสัย: คุณไม่จำเป็นต้องทำครบทั้ง 6 อย่างทุกวัน การตั้งเป้าหมายที่ยืดหยุ่นเช่นนี้ช่วยลดความกดดันและให้ 'สิทธิ์ที่จะล้มเหลว' โดยไม่รู้สึกผิด
  3. ทำต่อเนื่อง 21 วัน: แบ่งช่วง 21 วันออกเป็นช่วงละ 2 วัน เพื่อให้ง่ายต่อการเริ่มต้นและรีเซ็ตความคิด
  4. ไม่มีการชดเชย: หากพลาดในวันใด ไม่ต้องพยายามชดเชยด้วยการทำเพิ่มในวันถัดไป เพียงแค่กลับมาทำต่อในวันถัดไปตามปกติ
  5. ประเมินผลหลัง 21 วัน: เมื่อครบ 21 วัน ให้หยุดการบังคับตัวเอง และประเมินว่านิสัยใดบ้างที่กลายเป็นส่วนหนึ่งของชีวิตประจำวันของคุณโดยอัตโนมัติ
  6. ทำซ้ำหรือเพิ่มนิสัย: หากมีนิสัยที่ยังไม่ติด ให้ลองทำซ้ำโปรแกรม 21 วัน หรือหากนิสัยเดิมติดแล้ว จึงค่อยพิจารณาเพิ่มนิสัยใหม่

ระบบนี้มุ่งเน้นที่การสร้าง 'นิสัยของการสร้างนิสัย' (the habit of performing habits) และช่วยให้เราประเมินได้อย่างแท้จริงว่าระบบประสาทของเราได้ปรับตัวกับพฤติกรรมใหม่ๆ ได้ลึกซึ้งแค่ไหน

การเลิกนิสัยที่ไม่ดี: Long Term Depression และพฤติกรรมทดแทน

การเลิกนิสัยที่ไม่ดีนั้นท้าทาย เพราะนิสัยเหล่านี้มักเกิดขึ้นอย่างรวดเร็วและเป็นอัตโนมัติ กลไกทางประสาทที่ใช้ในการ 'ทำลาย' การเชื่อมต่อของเซลล์ประสาทที่ไม่ต้องการเรียกว่า Long Term Depression (LTD) ซึ่งตรงข้ามกับ Long Term Potentiation (LTP) ที่ใช้ในการสร้างการเชื่อมต่อ

กลยุทธ์ที่มีประสิทธิภาพ: การใช้พฤติกรรมทดแทน (Replacement Behavior)

แทนที่จะพยายามห้ามตัวเองไม่ให้ทำนิสัยที่ไม่ดี ซึ่งมักจะยาก สิ่งที่ได้ผลคือ:

  1. ตระหนักรู้ทันที: เมื่อคุณพบว่าตัวเองได้ทำนิสัยที่ไม่ดีไปแล้ว (เช่น เผลอหยิบโทรศัพท์ขึ้นมา) ให้ตระหนักรู้ถึงพฤติกรรมนั้นทันที
  2. แทรกพฤติกรรมเชิงบวก: ทันทีหลังจากนั้น ให้คุณทำพฤติกรรมเชิงบวกอื่นที่ง่ายและคุณพึงพอใจ (เช่น ดื่มน้ำหนึ่งแก้ว, ฝึกภาษา 5 นาที, หายใจลึกๆ 2 ครั้ง)

การทำเช่นนี้จะสร้างความไม่สอดคล้องทางเวลาและความรู้ความเข้าใจ (Cognitive and Temporal Mismatch) ในวงจรประสาท มันจะเปลี่ยน 'วงจรปิด' ของนิสัยที่ไม่ดี (พฤติกรรม A นำไปสู่ A ซ้ำๆ) ให้กลายเป็น 'วงจรเปิด' (พฤติกรรม A นำไปสู่ B, C, D) ซึ่งทำให้การแทรกแซงและเปลี่ยนแปลงพฤติกรรมนั้นง่ายขึ้นอย่างมาก

การเลิกนิสัยที่ไม่ดีเป็นเรื่องยาก โดยเฉพาะอย่างยิ่งในกรณีของการเสพติด ซึ่งต้องอาศัยกลยุทธ์ที่ครอบคลุมมากขึ้น แต่หลักการพื้นฐานของการปรับวงจรประสาทผ่านการแทรกพฤติกรรมทดแทนนี้สามารถเป็นจุดเริ่มต้นที่ทรงพลังได้

เนื้อหาของ Dr. Andrew Huberman มีความละเอียดและอ้างอิงหลักวิทยาศาสตร์อย่างแน่นหนา หากต้องการเจาะลึกในแต่ละประเด็น แนะนำให้รับชมคลิปฉบับเต็มเพื่อความเข้าใจที่สมบูรณ์และนำไปปรับใช้กับชีวิตประจำวันได้อย่างมีประสิทธิภาพ

ดูคลิปเต็มด้านบน หรืออ่านบทความเชิงลึกอื่น ๆ ในเว็บไซต์ของเราเพื่อพัฒนาตัวเองในทุกมิติ!