เจาะลึกวิทยาศาสตร์ของ Psychedelics: การปฏิวัติการรักษาโรคทางจิตเวช โดย Dr. Robin Carhart-Harris

วันนี้เรามาสรุปคลิปจากช่อง Andrew Huberman ที่ได้เชิญ Dr. Robin Carhart-Harris หนึ่งในนักวิจัยชั้นนำด้าน Psychedelics มาพูดคุยถึงวิทยาศาสตร์เบื้องหลังสารเหล่านี้ และศักยภาพในการปฏิวัติการรักษาโรคทางจิตเวช ซึ่งเป็นประโยชน์อย่างมากสำหรับทุกคนที่สนใจในสุขภาพจิตและการทำงานของสมอง

ดูวิดีโอต้นฉบับบน YouTube

สารบัญวิดีโอ

ประเด็นสำคัญ

  • Psychedelics โดยเฉพาะ Psilocybin, LSD และ DMT ทำงานโดยกระตุ้นตัวรับ Serotonin 2A ในสมอง ทำให้เกิดการเปลี่ยนแปลงวงจรประสาทและส่งเสริมการเรียนรู้ใหม่ๆ
  • การบำบัดด้วย Psilocybin แสดงผลลัพธ์ที่น่าทึ่งในการรักษาภาวะซึมเศร้า โดยมีอัตราการทุเลาอาการสูงถึง 70% และกำลังถูกศึกษาในการรักษา Anorexia Nervosa และ Fibromyalgia ด้วย
  • หัวใจสำคัญของการบำบัดคือ 'การปล่อยวาง' (Letting Go) และการ 'บูรณาการ' (Integration) ประสบการณ์ที่เกิดขึ้น ซึ่งช่วยให้ผู้ป่วยเผชิญหน้ากับความเจ็บปวดและสร้างการเปลี่ยนแปลงในระยะยาว
  • การใช้ Psychedelics ทำให้เกิดการเชื่อมโยงการทำงานทั่วทั้งสมองเพิ่มขึ้น (Global Functional Connectivity) และลด 'ความเป็นโมดูล' ซึ่งสัมพันธ์กับการพัฒนาสุขภาพจิตที่ดีขึ้น
  • แม้ Microdosing จะได้รับความนิยม แต่หลักฐานทางวิทยาศาสตร์ยังไม่แข็งแกร่งเท่า Macrodosing ที่ให้ผลลัพธ์เด่นชัดในสภาพแวดล้อมทางคลินิกที่ควบคุม

ในโลกของการดูแลสุขภาพจิตที่กำลังพัฒนาไปอย่างรวดเร็ว Dr. Robin Carhart-Harris จาก University of California, San Francisco ได้กลายเป็นหนึ่งในผู้บุกเบิกที่สำคัญที่สุดในการวิจัย Psychedelics เพื่อการรักษาโรคทางจิตเวช การพูดคุยกับ Andrew Huberman ใน Huberman Lab Podcast ได้เผยให้เห็นถึงศักยภาพอันน่าทึ่งของสารเหล่านี้ในการเปลี่ยนแปลงสมองและฟื้นฟูสุขภาพจิต

Psychedelics คืออะไร? นิยามทางวิทยาศาสตร์และประวัติ

คำว่า 'Psychedelic' มีรากศัพท์มาจากภาษากรีกโบราณ 'psyche' ที่แปลว่า จิตใจหรือวิญญาณ และ 'delos' ที่แปลว่า ทำให้ชัดเจนหรือเปิดเผย โดยรวมแล้วหมายถึง 'การเปิดเผยจิตใจ' ซึ่งเป็นคำที่ Humphry Osmond นักวิจัยชาวอังกฤษ-แคนาดา บัญญัติขึ้นในปี 1956 เพื่ออธิบายสารที่ออกฤทธิ์เกินกว่าการเลียนแบบอาการทางจิต (psychotomimetics) เช่น Mescaline และ LSD

ในทางเภสัชวิทยา Psychedelics แบบคลาสสิก เช่น Psilocybin (จากเห็ดวิเศษ), LSD และ DMT ทำงานโดยกระตุ้นตัวรับ Serotonin 2A ในสมอง ซึ่งเป็นกลไกสำคัญที่ทำให้เกิดการเปลี่ยนแปลงทางจิตวิทยาและประสบการณ์ทางอารมณ์ที่ลึกซึ้ง

การทำงานของสมองและการเข้าถึงจิตไร้สำนึก

Dr. Carhart-Harris อธิบายว่า Psychedelics สามารถเปิดเผยแง่มุมของจิตใจที่ปกติไม่สามารถเข้าถึงได้ หรือที่เรียกว่า 'จิตไร้สำนึก' (unconscious) ซึ่งอาจรวมถึงความทรงจำที่ถูกเก็บกดจากบาดแผลทางใจ หรือแง่มุมของ 'จิตไร้สำนึกรวม' (collective unconscious) ตามแนวคิดของ Carl Jung การเข้าถึงข้อมูลเหล่านี้ในระหว่างการบำบัดด้วย Psychedelics มักนำไปสู่การปลดปล่อยอารมณ์อย่างรุนแรง (catharsis) และความเข้าใจเชิงลึก (insights) ซึ่งเป็นตัวเร่งให้เกิดกระบวนการบำบัด

Microdosing vs. Macrodosing: หลักฐานทางวิทยาศาสตร์

การใช้ Psychedelics ในปริมาณน้อยที่เรียกว่า 'Microdosing' ซึ่งมักจะไม่มีผลกระทบทางจิตประสาทที่ชัดเจน ได้รับความนิยมอย่างมาก แต่ Dr. Carhart-Harris ตั้งข้อสังเกตว่าหลักฐานทางวิทยาศาสตร์ที่สนับสนุนประสิทธิภาพของ Microdosing ยังคงมีจำกัด การศึกษาหนึ่งที่น่าสนใจพบว่า ผลประโยชน์ที่ได้รับจากการ Microdosing ส่วนใหญ่อาจมาจาก 'ผลของยาหลอก' (placebo effect) ซึ่งเกิดจากความคาดหวังเชิงบวกของผู้เข้าร่วม

ในทางตรงกันข้าม 'Macrodosing' หรือการใช้ในปริมาณมากภายใต้การดูแลทางคลินิก แสดงผลลัพธ์ที่น่าเชื่อถือและมีนัยสำคัญ ตัวอย่างเช่น การทดลองทางคลินิกพบว่า Psilocybin ในปริมาณ 25 มิลลิกรัม สามารถบรรเทาภาวะซึมเศร้าอย่างรุนแรงได้ในผู้ป่วยกว่า 67-70% ซึ่งเป็นอัตราที่สูงกว่าการรักษาแบบดั้งเดิมอย่างเห็นได้ชัด (ประมาณ 1 กรัมของเห็ดวิเศษมี Psilocybin ประมาณ 10 มิลลิกรัม)

ประสบการณ์การบำบัด: Set & Setting และดนตรี

ในการบำบัดด้วย Psychedelics สิ่งแวดล้อม ('Set' - สภาพจิตใจของผู้ป่วย, 'Setting' - สภาพแวดล้อมทางกายภาพ) มีความสำคัญอย่างยิ่ง ผู้ป่วยจะสวมหน้ากากปิดตาเพื่อส่งเสริมการสำรวจภายใน และฟังเพลงที่ถูกคัดสรรมาเป็นพิเศษ ดนตรีที่ไม่มีเนื้อร้องและมีบรรยากาศที่ค่อยๆ หนักแน่นขึ้น มีบทบาทสำคัญในการกระตุ้นอารมณ์และนำทางประสบการณ์ การบำบัดมักดำเนินการโดยผู้เชี่ยวชาญด้านสุขภาพจิตสองคน เพื่อให้การสนับสนุนและคำแนะนำตลอดการเดินทาง

แนวคิดสำคัญในการบำบัดคือ 'เชื่อ ปล่อยวาง เปิดใจ' (Trust, Let Go, Be Open) ผู้ป่วยจะได้รับการสนับสนุนให้ยอมจำนนต่อประสบการณ์ ไม่ต่อต้าน แม้ในช่วงแรกอาจมีความวิตกกังวลและความกลัวว่า 'จะเสียสติ' หรือ 'กำลังจะตาย' แต่การปล่อยวางจะนำไปสู่การเผชิญหน้ากับความเจ็บปวดและปลดล็อกการเยียวยา

การเปลี่ยนแปลงของสมอง: Neuroplasticity และการเชื่อมต่อ

การวิจัยแสดงให้เห็นว่า Psychedelics เพิ่มการเชื่อมโยงการทำงานทั่วทั้งสมอง (Global Functional Connectivity) โดยเฉพาะอย่างยิ่งระหว่างบริเวณสมองที่ปกติแล้วไม่ค่อยสื่อสารกัน การเปลี่ยนแปลงนี้ไม่เพียงเกิดขึ้นระหว่างการออกฤทธิ์ของยา แต่ยังคงอยู่หลังจากการเดินทางสิ้นสุดลง (เช่น วันรุ่งขึ้นหรือสามสัปดาห์ต่อมา) ซึ่งสัมพันธ์กับการปรับปรุงอาการซึมเศร้าอย่างมีนัยสำคัญ

นอกจากนี้ การศึกษาในผู้เข้าร่วมที่มีสุขภาพดีที่ใช้ Psilocybin เป็นครั้งแรกยังพบการเปลี่ยนแปลงทางกายวิภาคของสมอง โดยเฉพาะในเส้นใยประสาท (white matter tracts) ที่เชื่อมระหว่าง Prefrontal Cortex, Thalamus และ Striatum ซึ่งบ่งชี้ถึงการเพิ่มความสมบูรณ์ของเส้นใยประสาทในลักษณะที่คล้ายกับการพัฒนาสมองจากวัยเด็กสู่ผู้ใหญ่ การเปลี่ยนแปลงเหล่านี้สัมพันธ์กับการพัฒนาความเป็นอยู่ที่ดีขึ้นและความยืดหยุ่นทางความคิด (Cognitive Flexibility)

การบำบัดสำหรับ Anorexia Nervosa และ Fibromyalgia

นอกจากการรักษาภาวะซึมเศร้าแล้ว Dr. Carhart-Harris ยังเปิดเผยผลลัพธ์เบื้องต้นที่น่าตื่นเต้นจากการทดลองใช้ Psilocybin ในการรักษา Anorexia Nervosa (โรคคลั่งผอม) ซึ่งเป็นภาวะที่อันตรายถึงชีวิต และ Fibromyalgia Syndrome (อาการปวดเรื้อรังทั่วร่างกาย) ในผู้ป่วย Anorexia พบว่ามีการลดลงของความคิดหมกมุ่นเกี่ยวกับอาหาร และความเต็มใจที่จะบริโภคอาหารในปริมาณที่เหมาะสม ในขณะที่ผู้ป่วย Fibromyalgia รายงานประสบการณ์ที่ลึกซึ้งและเปลี่ยนแปลงชีวิต

DMT: ยานอวกาศสู่ความลึกของจิตใจและการละลายของอัตตา

DMT (Dimethyltryptamine) เป็น Psychedelic แบบคลาสสิกที่ออกฤทธิ์สั้นมาก เพียงไม่กี่นาที แต่ให้ประสบการณ์ที่รุนแรงและลึกซึ้ง Dr. Carhart-Harris เปรียบเปรยว่าเป็น 'ยานอวกาศสู่ความบ้าคลั่ง' ผู้ใช้หลายคนอธิบายว่าเป็นประสบการณ์ที่เหนือจริงและเปลี่ยนแปลงชีวิตอย่างที่สุด

DMT และ 5-MeO-DMT มักนำไปสู่ประสบการณ์ที่เรียกว่า 'Ego Dissolution' หรือ 'การละลายของอัตตา' ซึ่งเป็นการสูญเสียความรู้สึกถึงตัวตนและขอบเขตของตนเองชั่วคราว ทำให้เกิดความรู้สึกเชื่อมโยงกับสิ่งอื่น ๆ และจักรวาลโดยรวม ประสบการณ์นี้ช่วยให้ผู้คนเห็นว่าอัตตาเป็นเพียงโครงสร้างทางจิตใจ และสามารถนำไปสู่ความเข้าใจเชิงปรัชญาที่ลึกซึ้งเกี่ยวกับชีวิตและความสัมพันธ์

การบูรณาการประสบการณ์ (Integration): กุญแจสู่ผลลัพธ์ระยะยาว

Dr. Carhart-Harris เน้นย้ำว่าการบำบัดด้วย Psychedelics ไม่ได้จบลงเมื่อยาหมดฤทธิ์ แต่ 'การบูรณาการ' ประสบการณ์ที่ได้รับเข้ากับชีวิตประจำวันเป็นสิ่งสำคัญอย่างยิ่ง กระบวนการนี้อาจใช้เวลาตลอดชีวิต คล้ายกับการฝึกสมาธิ ซึ่งต้องอาศัยความพยายามอย่างต่อเนื่องเพื่อรักษาผลประโยชน์ที่ได้รับ การบำบัดด้วย Psychedelics ช่วยให้ผู้ป่วยสามารถ 'นั่งอยู่กับ' (sit with) ความเจ็บปวดและบาดแผล มากกว่าที่จะ 'กดทับ' (sit on) มันไว้ ซึ่งนำไปสู่การเยียวยาที่แท้จริง

อนาคตของ Psychedelic Therapy และสถานะทางกฎหมาย

สถานะทางกฎหมายของ Psychedelics กำลังเปลี่ยนแปลงอย่างรวดเร็ว MDMA Therapy สำหรับ Post-Traumatic Stress Disorder (PTSD) กำลังอยู่ในช่วง Phase III ของการทดลองทางคลินิก และคาดว่าจะได้รับการอนุมัติจาก FDA และเริ่มใช้งานได้จริงภายในปี 2024 ส่วน Psilocybin Therapy สำหรับภาวะซึมเศร้าก็กำลังเข้าสู่ Phase III เช่นกัน แต่คาดว่าจะแล้วเสร็จประมาณปี 2026

แม้จะมีความก้าวหน้า แต่ก็ยังมีความท้าทายมากมาย ทั้งในด้านค่าใช้จ่ายของการบำบัด การฝึกอบรมผู้บำบัด และการสร้างระบบการส่งต่อผู้ป่วยที่เหมาะสม Dr. Carhart-Harris หวังว่าสังคมจะสามารถรักษาสมดุลระหว่างการเปิดใจรับสิ่งใหม่ๆ กับการใช้มาตรการป้องกันที่เข้มงวด เพื่อให้การบำบัดด้วย Psychedelics สามารถเข้าถึงผู้ป่วยได้อย่างปลอดภัยและมีประสิทธิภาพ

งานวิจัยที่ Dr. Robin Carhart-Harris และทีมงานกำลังดำเนินการอยู่ ถือเป็นการเปลี่ยนแปลงกระบวนทัศน์ครั้งใหญ่ในการดูแลสุขภาพจิต โดยเสนอทางเลือกใหม่สำหรับผู้ป่วยที่การรักษาแบบเดิมๆ ไม่ได้ผล และเป็นการเปิดประตูสู่ความเข้าใจที่ลึกซึ้งยิ่งขึ้นเกี่ยวกับจิตใจและสมองของมนุษย์

เนื้อหาของ Dr. Andrew Huberman และ Dr. Robin Carhart-Harris มีความละเอียดและลึกซึ้งมาก แนะนำให้ดูคลิปฉบับเต็มเพื่อความเข้าใจที่สมบูรณ์และครบถ้วนยิ่งขึ้น การใช้ Psychedelics ควรอยู่ภายใต้การดูแลของผู้เชี่ยวชาญและถูกต้องตามกฎหมายเท่านั้น บทความนี้ไม่สนับสนุนการใช้สารผิดกฎหมาย

ดูคลิปเต็มด้านบนเพื่อเจาะลึกวิทยาศาสตร์ของ Psychedelics หรืออ่านบทความเชิงลึกอื่น ๆ ต่อไปเพื่อสุขภาพที่ดีขึ้นของคุณ