ประเด็นสำคัญ
- Dr. Karl Deisseroth ผู้บุกเบิกเทคโนโลยี Optogenetics และ Clarity ที่ปฏิวัติการทำความเข้าใจและการรักษาโรคทางจิตเวชโดยการควบคุมเซลล์ประสาทด้วยแสง.
- ความท้าทายของจิตเวชศาสตร์คือการวินิจฉัยที่อาศัยคำพูดและอคติทางสังคม แต่ในอนาคตจะมีการตรวจวัดเชิงปริมาณที่แม่นยำขึ้นเพื่อนำไปสู่การรักษาที่ตรงจุดและมีผลข้างเคียงน้อยลง.
- ยาไซเคเดลิกและ MDMA กำลังถูกศึกษาเพื่อใช้บำบัดโรคซึมเศร้าและ PTSD โดยเชื่อว่าช่วยให้สมองสร้างแบบจำลองความเป็นจริงใหม่ๆ และส่งเสริมการเรียนรู้ที่นำไปสู่การเยียวยาในระยะยาว.
ในพอดแคสต์ Huberman Lab ครั้งแรกนี้ Andrew Huberman ได้สัมภาษณ์ Dr. Karl Deisseroth จิตแพทย์และนักวิทยาศาสตร์วิจัยจาก Stanford School of Medicine ผู้บุกเบิกเทคโนโลยีอันน่าทึ่งเพื่อทำความเข้าใจและรักษาความผิดปกติของระบบประสาทและจิตใจ บทสนทนาครอบคลุมตั้งแต่ความแตกต่างระหว่างประสาทวิทยาและจิตเวชศาสตร์ ไปจนถึงเทคโนโลยีล้ำสมัยอย่าง Optogenetics และ Clarity รวมถึงอนาคตของการบำบัดด้วยยาไซเคเดลิก
ความแตกต่างและอุปสรรคในจิตเวชศาสตร์
Dr. Deisseroth อธิบายว่าประสาทวิทยา (Neurology) มุ่งเน้นไปที่ความผิดปกติทางกายภาพที่มองเห็นได้ในสมอง เช่น โรคหลอดเลือดสมองหรืออาการชัก ซึ่งสามารถวินิจฉัยและรักษาได้ด้วยการตรวจวัดที่ชัดเจน ในทางตรงกันข้าม จิตเวชศาสตร์ (Psychiatry) จัดการกับความผิดปกติที่ 'มองไม่เห็น' เช่น โรคซึมเศร้า จิตเภท หรือออทิซึม ซึ่งอาศัยคำพูดและการสังเกตอาการเป็นหลัก นี่คือความท้าทายที่สำคัญที่สุด เนื่องจากผู้ป่วยมักไม่กล้ามาพบแพทย์เพราะความรู้สึกผิดหรืออคติทางสังคม ซึ่งอาจทำให้อาการแย่ลงได้ ในอนาคต Dr. Deisseroth เชื่อว่าจะมีการทดสอบเชิงปริมาณที่แม่นยำมากขึ้น เช่น การวิเคราะห์คลื่นสมอง เพื่อช่วยในการวินิจฉัยที่รวดเร็วและน่าเชื่อถือยิ่งขึ้น
เทคโนโลยีปฏิวัติวงการ: Optogenetics และ Clarity
Dr. Deisseroth เป็นผู้บุกเบิกการพัฒนา Optogenetics เทคโนโลยีที่ใช้โปรตีนที่มาจากสาหร่ายที่เรียกว่า 'channelrhodopsins' ซึ่งสามารถใส่เข้าไปในเซลล์ประสาทของสัตว์และมนุษย์ เพื่อควบคุมกิจกรรมของเซลล์ประสาทด้วยแสงได้อย่างแม่นยำ เทคโนโลยีนี้เป็นทางเลือกที่ปฏิวัติวงการ เพราะการรักษาด้วยยาแบบเดิมมักมีผลข้างเคียงและไม่ได้ผลกับทุกคน นอกจากนี้ เขายังพัฒนาเทคโนโลยี Clarity ซึ่งเป็นการสร้างเจลใสภายในเนื้อเยื่อสมอง ทำให้สมองโปร่งใสเหมือนแก้ว ช่วยให้นักวิทยาศาสตร์สามารถมองเห็นโครงสร้างและวงจรประสาทได้อย่างละเอียดในแบบ 3 มิติ
การประยุกต์ใช้ในคลินิกและอนาคต
Optogenetics ได้แสดงศักยภาพที่น่าทึ่งแล้ว เช่น การควบคุมพฤติกรรมของหนูด้วยแสง และการช่วยให้ผู้ป่วยตาบอดมองเห็นแสงได้เป็นครั้งแรก เทคโนโลยีนี้ช่วยให้เราเข้าใจว่าวงจรสมองใดที่เกี่ยวข้องกับอาการป่วย ซึ่งจะนำไปสู่การพัฒนายาที่เฉพาะเจาะจงมากขึ้นและมีผลข้างเคียงน้อยลง แทนที่จะเป็นการรักษาแบบลองผิดลองถูกแบบในอดีต
ในปัจจุบัน Dr. Deisseroth ยังคงใช้การกระตุ้นเส้นประสาท Vagus ด้วยไฟฟ้าเพื่อรักษาผู้ป่วยโรคซึมเศร้า แม้ว่าจะเป็นวิธีการที่เข้าถึงได้ง่าย แต่ก็ยังขาดความแม่นยำและอาจมีผลข้างเคียง การใช้ Optogenetics ในอนาคตจะช่วยให้สามารถกำหนดเป้าหมายเซลล์ประสาทได้อย่างแม่นยำยิ่งขึ้น ลดผลข้างเคียง และเพิ่มประสิทธิภาพการรักษา
การทำความเข้าใจสภาวะจิตใจที่ซับซ้อน
พอดแคสต์ยังเจาะลึกถึงแนวคิดที่ซับซ้อน เช่น Brain-Machine Interface (BMI) สำหรับการรักษา ADHD และการทำความเข้าใจภาวะ Dissociation ซึ่งเป็นการแยกตัวออกจากความรู้สึกของตนเองและร่างกาย Dr. Deisseroth ได้ใช้ Optogenetics และการบันทึกคลื่นสมองในหนูและมนุษย์เพื่อระบุวงจรสมองที่เกี่ยวข้องกับภาวะนี้
ยาไซเคเดลิก: แสงแห่งความหวังใหม่
Dr. Deisseroth ยังได้ให้ความเห็นเกี่ยวกับ ยาไซเคเดลิก เช่น LSD, Psilocybin และ MDMA ในฐานะแนวทางการรักษาใหม่สำหรับโรคซึมเศร้าและ PTSD โดยเชื่อว่ายาเหล่านี้ช่วยเพิ่มความยืดหยุ่นของสมองในการสร้างและทดสอบ 'สมมติฐานที่ไม่น่าจะเป็นไปได้' เกี่ยวกับโลก ซึ่งช่วยให้ผู้ป่วยหลุดพ้นจากวงจรความคิดเชิงลบและความสิ้นหวัง การเรียนรู้ที่เกิดขึ้นภายใต้สภาวะเหล่านี้นับเป็นกุญแจสำคัญในการเยียวยาในระยะยาว
ชีวิตและการมองโลกในแง่ดีของ Dr. Deisseroth
แม้จะทำงานหนักในฐานะจิตแพทย์ นักวิทยาศาสตร์ และหัวหน้าห้องปฏิบัติการขนาดใหญ่ รวมถึงการดูแลครอบครัวที่มีลูกห้าคน Dr. Deisseroth ก็ยังคงรักษาสมดุลชีวิตด้วยการจัดสรรเวลา 'คิด' ในแต่ละวัน เขาเป็นคนที่ใช้คำพูดในการคิดและให้เหตุผลอย่างมาก และเชื่อมั่นในการฝึกฝนจิตใจให้มีสมาธิ และมองโลกในแง่ดีถึงอนาคตของจิตเวชศาสตร์ ที่จะนำไปสู่ความเข้าใจและการรักษาที่ดีขึ้นสำหรับผู้ป่วยทุกคน
เนื้อหาในพอดแคสต์นี้มีความละเอียดอ่อนและเต็มไปด้วยข้อมูลเชิงลึกทางวิทยาศาสตร์ การทำความเข้าใจจิตใจและสมองนั้นเป็นเรื่องที่ซับซ้อนและต้องใช้ความระมัดระวังในการตีความ Dr. Karl Deisseroth และ Dr. Andrew Huberman ได้นำเสนอแนวคิดและเทคโนโลยีที่น่าตื่นเต้นซึ่งอาจเป็นกุญแจสำคัญในการรักษาโรคทางจิตเวชในอนาคต ขอแนะนำให้ดูฉบับเต็มเพื่อความเข้าใจที่สมบูรณ์และรับฟังข้อมูลจากผู้เชี่ยวชาญโดยตรง
ดูคลิปเต็มด้านบนเพื่อเจาะลึกทุกประเด็น หรืออ่านบทความเชิงลึกอื่น ๆ เกี่ยวกับสุขภาพจิตและประสาทวิทยาได้ที่เว็บไซต์ของเรา