สรุป: ใช้ระบบประสาทของคุณเพื่อเสริมสร้างภูมิคุ้มกัน | Huberman Lab Essentials

วันนี้เรามาสรุปคลิปที่น่าสนใจจากช่อง Andrew Huberman ในซีรีส์ Huberman Lab Essentials ที่พูดถึงเรื่อง 'การใช้ระบบประสาทเพื่อเสริมสร้างระบบภูมิคุ้มกันของคุณ' ซึ่งมีประโยชน์มากๆ สำหรับคนที่สนใจทำความเข้าใจว่าร่างกายของเราตอบสนองต่อการเจ็บป่วยอย่างไร และเราจะใช้ประโยชน์จากระบบประสาทเพื่อป้องกันและฟื้นตัวจากอาการป่วยได้อย่างไรบ้าง โดยอ้างอิงจากงานวิจัยทางวิทยาศาสตร์ที่น่าเชื่อถือ

ดูวิดีโอต้นฉบับบน YouTube

สารบัญวิดีโอ

ประเด็นสำคัญ

  • ระบบภูมิคุ้มกันของร่างกายมี 3 ด่านหลัก: เกราะป้องกันทางกายภาพ (ผิวหนัง, เยื่อเมือก), ระบบภูมิคุ้มกันแต่กำเนิด (ตอบสนองเร็ว), และระบบภูมิคุ้มกันแบบปรับตัว (สร้างแอนติบอดีจำเพาะ)
  • อาการไม่สบายต่างๆ ที่เรียกว่า 'พฤติกรรมเมื่อป่วย' เช่น อ่อนเพลีย เบื่ออาหาร เป็นการตอบสนองที่เกิดจากการส่งสัญญาณจากร่างกายไปยังสมองผ่านเส้นประสาทเวกัสและสารไซโตไคน์
  • เราสามารถใช้ระบบประสาทเพื่อเสริมสร้างภูมิคุ้มกันได้หลายวิธี เช่น การรักษาสมดุลไมโครไบโอม การหายใจทางจมูก และการบริโภคอาหารหมักดองที่มีน้ำตาลน้อย
  • การนอนหลับที่มีคุณภาพและการจัดท่านอนโดยยกเท้าให้สูงขึ้นเล็กน้อย สามารถช่วยกระตุ้นระบบกลิมฟาติก (Glymphatic System) ให้กำจัดของเสียในสมองได้อย่างมีประสิทธิภาพมากขึ้น
  • เทคนิคการหายใจแบบ Cyclic Hyperventilation (ซึ่งคล้ายกับการหายใจแบบ Wim Hof) สามารถลดการอักเสบและเพิ่มการหลั่งอะดรีนาลีนในระยะสั้น ซึ่งช่วยเสริมการทำงานของระบบภูมิคุ้มกันได้

ในคลิป Huberman Lab Essentials ตอนนี้ Dr. Andrew Huberman ได้พาเราเจาะลึกความเชื่อมโยงอันน่าทึ่งระหว่างระบบประสาทและระบบภูมิคุ้มกันของร่างกาย โดยเริ่มต้นจากการทำความเข้าใจพื้นฐานของระบบภูมิคุ้มกันก่อนที่จะนำเสนอเครื่องมือและเทคนิคที่อิงหลักวิทยาศาสตร์เพื่อช่วยให้เราแข็งแรงขึ้นและฟื้นตัวจากอาการป่วยได้เร็วขึ้น

ทำความเข้าใจระบบภูมิคุ้มกัน: 3 ด่านป้องกัน

ระบบภูมิคุ้มกันของเราถูกออกแบบมาอย่างชาญฉลาด มี 3 ด่านหลักในการปกป้องร่างกาย:

  1. ด่านป้องกันทางกายภาพ: ประกอบด้วยผิวหนังของเรา ซึ่งทำหน้าที่เป็นเกราะห่อหุ้มร่างกาย รวมถึงช่องเปิดต่างๆ เช่น ตา หู จมูก ปาก และระบบทางเดินอาหารทั้งหมด ซึ่งมีเยื่อเมือกบุอยู่ เยื่อเมือกนี้ทำหน้าที่เป็นตัวกรองและกับดักเชื้อโรคต่างๆ ได้อย่างยอดเยี่ยม
  2. ระบบภูมิคุ้มกันแต่กำเนิด (Innate Immune System): เป็นด่านป้องกันที่สองและตอบสนองอย่างรวดเร็วเมื่อมีผู้บุกรุก เช่น แบคทีเรีย ไวรัส หรือปรสิต เข้าสู่ร่างกาย ระบบนี้จะปล่อยเซลล์ต่างๆ เช่น เซลล์เม็ดเลือดขาว (neutrophils, macrophages, natural killer cells) ออกมาทำลายเชื้อโรค นอกจากนี้ยังมีโปรตีนคอมพลีเมนต์ (complement proteins) ที่คอยทำเครื่องหมายผู้บุกรุก และไซโตไคน์ (cytokines) เช่น IL-1, IL-6, TNF-alpha ที่เป็นสัญญาณขอความช่วยเหลือจากเซลล์ที่ถูกทำร้าย
  3. ระบบภูมิคุ้มกันแบบปรับตัว (Adaptive Immune System): เป็นด่านป้องกันที่สามที่มีความจำเพาะเจาะจง ระบบนี้จะสร้างแอนติบอดี (antibodies) เช่น IgM และ IgG เพื่อจดจำและต่อสู้กับเชื้อโรคที่เคยเข้ามาในร่างกาย ทำให้เรามีภูมิคุ้มกันต่อการติดเชื้อซ้ำในอนาคต

เสริมสร้างด่านแรก: ไมโครไบโอมและการหายใจ

การรักษาความแข็งแรงของด่านป้องกันแรกเป็นสิ่งสำคัญ Dr. Huberman เน้นย้ำว่า:

  • รักษาสมดุลไมโครไบโอม: จุลินทรีย์ดีที่อาศัยอยู่ในร่างกายของเรา ไม่ใช่แค่ในลำไส้ แต่ยังรวมถึงในตา ปาก และจมูก มีบทบาทสำคัญในการรักษาเยื่อเมือกให้มีประสิทธิภาพ
  • หายใจทางจมูก: จมูกเป็นตัวกรองแบคทีเรียและไวรัสที่ดีกว่าปากมาก การฝึกหายใจทางจมูกจึงช่วยลดการติดเชื้อได้
  • หลีกเลี่ยงการสัมผัสตา: ดวงตาเป็นจุดเข้าสู่ร่างกายของเชื้อโรคจำนวนมาก
  • บริโภคอาหารหมักดอง: การรับประทานอาหารหมักดองที่มีน้ำตาลต่ำ 2-4 ครั้งต่อวัน เช่น กิมจิ หรือผักดอง สามารถช่วยส่งเสริมไมโครไบโอมในลำไส้และลดการอักเสบได้

พฤติกรรมเมื่อป่วย (Sickness Behavior) คืออะไร?

เมื่อเราป่วย เรามักจะรู้สึกอ่อนเพลีย ขาดความกระตือรือร้น เบื่ออาหาร และอยากอยู่คนเดียว Dr. Huberman เรียกลักษณะอาการเหล่านี้ว่า “พฤติกรรมเมื่อป่วย” (Sickness Behavior) ซึ่งไม่ใช่แค่ความรู้สึกแย่ๆ แต่เป็นกลไกที่ร่างกายออกแบบมาเพื่อช่วยให้เราฟื้นตัว

  • เส้นประสาทเวกัส (Vagus Nerve): เป็นเส้นทางหลักที่เชื่อมโยงร่างกายและสมอง โดยส่งสัญญาณการติดเชื้อจากอวัยวะต่างๆ ไปยังสมองส่วนไฮโปทาลามัส (hypothalamus)
  • การตอบสนองของสมอง: สมองจะตอบสนองด้วยการเพิ่มอุณหภูมิร่างกาย (ไข้) เพื่อฆ่าเชื้อโรค ทำให้เกิดอาการไวต่อแสง (photophobia) และกระตุ้นให้เราอยากนอนหลับมากขึ้นแม้ในเวลากลางวัน
  • สองเส้นทาง: การส่งสัญญาณการป่วยไปยังสมองมีทั้งแบบรวดเร็วผ่านเส้นประสาทเวกัส และแบบช้าผ่านสารไซโตไคน์ที่ไหลเวียนในกระแสเลือด

พลิกเกม: ใช้ระบบประสาทเพื่อเร่งการฟื้นตัว

เราสามารถใช้ระบบประสาทของเราเพื่อเสริมการทำงานของภูมิคุ้มกันและฟื้นตัวจากอาการป่วยได้เร็วขึ้น:

  • การนอนหลับและระบบกลิมฟาติก (Glymphatic System): ระบบกลิมฟาติกในสมองมีหน้าที่กำจัดของเสียที่สะสมระหว่างวันและเมื่อเกิดการอักเสบ การนอนหลับที่มีคุณภาพเป็นสิ่งสำคัญอย่างยิ่งต่อระบบนี้ Dr. Huberman แนะนำให้ลองยกเท้าขึ้นประมาณ 12 องศาขณะนอนหลับ (เช่น หนุนหมอนใต้เท้า) เพื่อช่วยเพิ่มการไหลเวียนและกำจัดของเสียในสมอง
  • พลังของการหายใจ (Cyclic Hyperventilation): งานวิจัยในวารสาร PNAS แสดงให้เห็นว่าการหายใจแบบ Cyclic Hyperventilation (ซึ่งคล้ายกับการหายใจแบบ Wim Hof) สามารถกระตุ้นระบบประสาทซิมพาเทติก (Sympathetic Nervous System) ซึ่งเกี่ยวข้องกับการตื่นตัวและอะดรีนาลีน การหายใจรูปแบบนี้ (หายใจเข้าลึกๆ และออกแรงๆ 20-30 ครั้ง สลับกับการกลั้นหายใจหลังหายใจออกจนสุด) ช่วยลดไซโตไคน์ที่ก่อให้เกิดการอักเสบ และเพิ่มไซโตไคน์ที่ช่วยลดการอักเสบ ส่งผลให้อาการคล้ายไข้หวัดลดลง Dr. Huberman เผยว่าเขาใช้เทคนิคนี้เมื่อเริ่มรู้สึกไม่สบายเพื่อช่วยให้ร่างกายต่อสู้กับเชื้อโรคได้ดีขึ้น
  • Mindset ความหวัง และโดปามีน: งานวิจัยจากห้องปฏิบัติการของ Aysa Rolls แสดงให้เห็นว่าสภาวะจิตใจและความหวังมีผลอย่างมากต่อระบบภูมิคุ้มกัน การคิดถึงอนาคตในเชิงบวกจะกระตุ้นเส้นทางโดปามีน (dopamine pathway) ซึ่งสามารถลดขนาดเนื้องอก เร่งการสมานแผล และลดการอักเสบได้
  • การกระตุ้นด้วยไฟฟ้า (Electroacupuncture) และแกนประสาท Vagal Adrenal: การวิจัยจากห้องปฏิบัติการของ Qiufu Ma ที่ Harvard Medical School พบว่าการกระตุ้นจุดเฉพาะบนร่างกายด้วยเข็มฝังเข็มไฟฟ้า (electroacupuncture) โดยเฉพาะบริเวณขา สามารถกระตุ้นเส้นประสาทที่อยู่ในพังผืด (fascia) ซึ่งจะส่งสัญญาณไปยังสมองและต่อมหมวกไต ทำให้มีการหลั่งสารแคทีโคลามีน (catecholamines) เช่น นอร์อะดรีนาลีน อะดรีนาลีน และโดปามีน ซึ่งช่วยลดการอักเสบในร่างกายได้

การจัดการอาการเมื่อป่วย

เมื่อมีอาการป่วย การดูแลตัวเองเป็นสิ่งสำคัญ นอกจากการพักผ่อนและดื่มน้ำให้เพียงพอแล้ว ยังมีทางเลือกอื่นๆ ในการจัดการกับอาการ เช่น อาการคัดจมูกและการอักเสบของจมูก ซึ่งจากการศึกษาในมนุษย์พบว่ามีบางทางเลือกที่สามารถช่วยลดอาการคัดจมูก ปรับปรุงความสามารถในการดมกลิ่น การนอนหลับ และลดไซโตไคน์ที่ก่อให้เกิดการอักเสบได้ โดยไม่ต้องพึ่งพายาแก้หวัดทั่วไปที่อาจมีผลข้างเคียง เช่น ทำให้ขาดน้ำหรือรบกวนการนอนหลับ

เนื้อหาของ Dr. Andrew Huberman มีความละเอียดและอ้างอิงงานวิจัยทางวิทยาศาสตร์ที่น่าเชื่อถือมาก การทำความเข้าใจกลไกเหล่านี้จะช่วยให้เราดูแลสุขภาพและภูมิคุ้มกันของตัวเองได้ดียิ่งขึ้น แนะนำให้รับชมคลิปฉบับเต็มเพื่อความเข้าใจที่สมบูรณ์และลึกซึ้งยิ่งขึ้น

ดูคลิปเต็มด้านบนเพื่อเจาะลึกทุกรายละเอียด หรืออ่านบทความเชิงลึกอื่น ๆ ในหมวดประสาทวิทยาของเราต่อได้เลย!